ให้คุณลองจินตนาการถึงภาพที่ Bitcoin สามารถทำธุรกรรมได้กว่า 1 ล้านธุรกรรมต่อวินาที จากนั้นลองจินตนาการถึงจำนวนโค้ดที่ต้องเขียนขึ้นมาเพื่อทำให้มันเป็นจริงดูสิ
ผู้อ่านหลาย ๆ ท่านอาจจะคุ้นชินกันแล้วว่า Bitcoin มีปัญหาด้าน Scaling และจะแก้ปัญหานั้นด้วย Lightning Network ถึงแม้ว่ามันจะดูยากและซับซ้อนมาก ๆ ในการแก้ปัญหาดังกล่าว แต่กลุ่มนักพัฒนาก็ไม่ย่อท้อและเดินหน้าหาวิธีทำให้การทำธุรกรรมด้วย Bitcoin นั้นง่ายต่อการใช้งานยิ่งขึ้น มีนักพัฒนาคนหนึ่งเสนอแผนใหม่ขึ้นมา แผนดังกล่าวคือการประยุกต์ใช้ Lightning Network กับ Near field communication (NFC) เข้าหากันเพื่อทำให้การทำธุรกรรมด้วย Bitcoin นั้นเกิดได้ง่ายและเร็วขึ้น
เทคโนโลยี NFC จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมได้ง่ายขึ้นมาก เช่น การถือโทรศัพท์ที่ฝังชิพ NFC ใกล้ ๆ กับเครื่องจ่ายเงิน จากนั้นการธุรกรรมก็จะเกิดขึ้น และเสร็จสิ้นภายในเวลาอันสั้น และแน่นอนว่าอุปกรณ์อื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นโทรศัพท์มือถือเท่านั้น อาจจะเป็นการด์ที่ฝังชิพ NFC เอาไว้ก็สามารถทำได้
ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวอาจจะไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่นักในแถบเอเซีย หรือ ยุโรป แต่ว่าในประเทศสหรัฐอเมริกา การใช้ NFC ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เพราะฉะนั้น ผู้ใช้ Bitcoin ที่ประเทศดังกล่าวอาจจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสำหรับการทดลองการใช้ Bitcoin ควบคู่กับ NFC ครั้งนี้ก็ได้
แผนพัฒนานี้ถูกคิดโดยนาย Igor Cota นักพัฒนา Lightning Network ซึ่งเป็นคนหาวิธีที่เชื่อม Lightning Network กับ NFC โดยเขาตั้งชื่อการเชื่อม Wallet ของ Lightning กับ NFC ว่า Presto
“ผมอยากให้การทำธุรกรรมนั้นเกิดขึ้นทันทีเหมือนกับการที่พวกเราใช้การ์ดเพื่อทำธุรกรรมในยุโรป ผู้ใช้งานแค่แตะการ์ดลงบนที่จ่ายเงินและการทำธุรกรรมก็จะเกิดขึ้นเรียบร้อย”
นอกจากนี้นาย Cota ยังคิดว่า มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถเปลี่ยน Computer เครื่องใดก็ได้ให้กลายเป็นจุดชำระเงินของ Lightning ได้ด้วย USB ที่มีราคาเพียงแค่ 29 ดอลลาร์ ซึ่งเขาได้ทำสำเร็จมาแล้วในการทดลองของเขา
การแทนที่ QR โค้ด
ในปัจจุบันการทำธุรกรรมด้วย Bitcoin นั้นยังใช้ QR โค้ดเป็นส่วนใหญ่อยู่ ซึ่งระบบ Presto เองก็สนับสนุน QR โค้ดเหมือนกัน แต่ว่านาย Cota เชื่อว่าการใช้ NFC แทนที่ QR โค้ดนั้นจะให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีกว่าสำหรับผู้ใช้
นาย Cota กล่าวเพิ่มเติมว่า
“ตัว QR โค้ดนั้นก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน เช่น QR โค้ดเองนั้นไม่สามารถบรรจุข้อมูลได้มากเท่าไร ผู้ขายไม่สามารถเพิ่มข้อมูลของธุรกรรมลงไปได้เท่าที่ควร อย่างเช่น ข้อมูลเกี่ยวกับใบเสร็จที่แสดงว่าซื้อสินค้าอะไรไปบ้าง หรือคูปอง”
แต่ว่าด้วย NFC นั้นกลับไม่มีข้อเสียเหล่านั้นอยู่
“ผมต้องการที่จะเห็นระบบธุรกรรมที่ส่งข้อมูลใบเสร็จในรูปแบบ HTML สวย ๆ ไปให้กับผู้ชำระเงิน ซึ่งในใบเสร็จนั้นก็แสดงให้เห็นถึงรายละเอียด เช่น เขาได้ไปซื้อสินค้าอะไรมาบ้าง, ยอดรวม, ภาษี, ยอดรวมทั้งหมด, โลโก้ของร้านค้า และคูปองอยู่ในนั้น”
ในความคิดของเขานั้น เขาคิดว่านี่จะสามารถบ่งบอกรายละเอียดได้ว่า ผู้ใช้งานมีพฤติกรรมการช็อปปิ้งเป็นแบบไหน ซึ่งจะส่งเสริมให้พวกเขาสามารถ วิเคราะห์ และ ควบคุมการเงินหรืองบประมาณได้ดียิ่งขึ้น
นาย Cota อธิบายเพิ่มเติมว่า :
“ลองจินตนาการถึงกระเป๋าตังค์ที่สามารถบอกคุณได้ว่า ในเดือนที่ผ่านมาคุณซื้อบร็อคโคลี่ไปเท่าไรดูสิ?”
“ตอนนี้ เรามีอำนาจในการควบคุมคริปโตของเราตลอดเวลา และใบเสร็จดิจิทัลเหล่านี้จะทำให้คุณมีอำนาจมากขึ้นไปอีก”
ประกายของสายฟ้า
แต่ก่อนที่การนำ NFC ไปใช้จะเกิดขึ้นได้นั้น นาย Cota ต้องนำการประยุกต์กับ NFC นี้เพิ่มเข้าไปในมาตราฐานที่กลุ่มผู้พัฒนาหลักได้ก่อตั้งไว้ซะก่อน เพื่อเป็นการยืนยันว่ามันสามารถทำงานด้วยกันกับมาตรฐานที่มีอยู่แล้วได้
เราเรียกมาตรฐานเหล่านี้ว่า “BOLTS” และนาย Cota เชื่อว่า NFC ควรที่จะถูกเพิ่มเข้าไปใน BOLT 11 ซึ่ง BOLT 11 เป็นตัวใบเสร็จที่อธิบายว่า ใครติดเงินใครอยู่เท่าไร ซึ่งกระบวนการนี้จะคล้าย ๆ กับที่อ่านบัตรเครดิตของบริษัท Starbucks ที่แสดงว่า ลูกค้าติดเงินค่าชาเขียวมัจฉะอยู่ 4.5 ดอลลาร์
ซึ่งปัจจุบัน BOLT 11 อธิบายแค่มาตราฐานสำหรับ QR โค้ด และตอนนี้นาย Cota ก็ได้สร้างมาตราฐานคร่าว ๆ สำหรับ NFC เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเขากล่าวว่า มันจะทำให้ จุดชำระเงินใดก็ตามที่ใช้ระบบ NFC สามารถรับการชำระเงินแบบ NFC จาก Lightning Network ได้
ซึ่งผลตอบรับของมาตราฐานดังกล่าวนับว่าดีมาก ถึงแม้ว่านาย Justin Camarena นักพัฒนา Bitrefill จะบ่นนิดหน่อยว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะใช้ระบบนี้ เนื่องจากยังมีชุดที่รับชำระเงินด้วยระบบ NFC อยู่ไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม นาย Cota มีความตั้งใจกับโปรเจคนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งตอนนี้เขากำลังพัฒนา User Interface ของ Presto ให้ใช้งานง่ายยิ่งขึ้นอยู่ และเขาอยากจะพัฒนาระบบดังกล่าวให้ถึงขั้นที่ว่าสามารถทำธุรกรรมแบบ NFC ได้ถึงแม้ว่าอุปกรณ์ที่ใช้ในการจ่ายเงินนั้นจะะ Offline อยู่ก็ตาม
โดยภาพรวมของ Lightning Network แล้วนับว่ากำลังเป็นไปได้ด้วยดีทีเดียว มีข่าวให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาเครือข่ายอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่เริ่มมีผู้ใช้งานบน Lightning Network ถึง 1,000 Nodes แล้ว, Lightning Network เปิดตัวเวอร์ชั่น Beta ที่พร้อมใช้งานบน Mainnet หรือแม้กระทั่งนักพัฒนานาม bitPico ออกมาโจมตีเครือข่าย Lightning Network เพื่อหวังที่จะทดสอบความแข็งแกร่งของระบบ นักพัฒนาแต่ละคนมีความมุ่งหวังที่จะทำให้ Bitcoin นั้นเป็นสกุลเงิน ที่สามารถรองรับการใช้งานของคนทั้งโลกได้จริง ๆ ไม่ใช่แค่เอาไว้เทรด หรือเก็งกำไรอย่างเดียว ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเร็ว ๆ นี้ เราคงได้เห็น Lightning Network เปิดใช้งานให้กับผู้ใช้งานบนเครือข่าย Bitcoin ทุกคนและเมื่อเวลานั้น Bitcoin จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าศักยภาพที่แท้จริงของมันนั้นเป็นอย่างไร
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น