นาย Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum ได้ออกมาอธิบายในช่วงถามตอบของงานประชุม OmiseGO เมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับเลเยอร์ชั้นรองของระบบใหม่อย่าง Sharding และ Plasma โดยเขาเผยว่าเครือข่ายของ Ethereum นั้นจะสามารถมีประสิทธิภาพในการประมวลผลธุรกรรมได้ถึง 1 ล้านธุรกรรมต่อ 1 วินาที และอาจทำได้มากถึง 100 ล้านธุรกรรมต่อ 1 วินาที
ข้อเสียหลักของ Blockchain คือปัญหาการ scaling
ก่อนหน้านี้ในงานประชุมหลาย ๆ ที่นั้น นาย Vitalik ได้กล่าวเน้นย้ำว่าโพรโตคอลของ Ethereum Blockchain และเครือข่าย blockchain ของเหรียญอื่น ๆ กำลังประสบปัญหาด้านการ scaling หรือการขยายเครือข่ายให้ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานที่มากขึ้น
เมื่อเดือนกันยายนปี 2017 ที่ผ่านมาในงานประชุมของ TechCrunch ที่มีนาย Naval Ravikant เป็นผู้ดำเนินรายการในแผนก Disrupt SF 2017 นั้น เขาได้สัมภาษณ์นาย Vitalik เกี่ยวกับการทำธุรกรรมบนเครือข่ายของ Bitcoin และ Ethereum ที่สามารถทำได้ประมาณ 3-6 ธุรกรรมต่อวินาทีในช่วงพีค พร้อมกับเสริมว่าหากจะมีระบบ blockchain ที่สามารถรองรับการทำงานของระบบใหญ่ ๆ อย่าง Visa, ตลาดหุ้นอย่าง Nasdaq, และเครือข่าย Internet of Things (IoT) ได้นั้น มันจะต้องสามารถรองรับธุรกรรมให้ได้ถึง 100,000 ธุรกรรมต่อวินาทีเสียก่อน
“เครือข่ายของ Bitcoin ในตอนนี้สามารถรองรับได้ต่ำกว่า 3 ธุรกรรมต่อวินาที และถ้ามันไปถึง 4 ได้ก็แปลว่านั่นคือช่วงพีคของมันแล้ว ในขณะที่ของ Ethereum ทำได้ 5 ธุรกรรมต่อวินาที และถ้ามันามารถไปถึง 6 ได้ นั่นก็คือช่วงพีคของมัน ในขณะเดียวกัน รถ Uber มีผู้ใช้งานโดยเฉลี่ย 12 เที่ยวต่อวินาที, PayPal มีประมาณ 2-3 ร้อยธุรกรรมต่อวินาที, Visa มีประมาณ 2-3 พันต่อวินาที, ตลาดหุ้นใหญ่ ๆ มีราว ๆ หลายหมื่นต่อวินที และใน IoT นั้นคุณจะต้องดูที่ประมาณนับแสนต่อวินาที” กล่าวโดยนาย Vitalik
ในขณะเดียวกันในช่วงถามตอบของ OmiseGO นั้น นาย Vitalik กล่าวว่าโซลูชันระดับเลเยอร์ชั้นสองของ Blockchain ในปัจจุบันนั้นกำลังถูกทดสอบบน testnet ของ Ethereum อยู่ และอาจจะถูกเปิดใช้บน Blockchain ของ Ethereum เพื่อรองรับ decentralized app ขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้งานเยอะ ๆ ได้
หนึ่งในโซลูชันนั้นก็คือ Sharding ที่จะช่วยแยกเครือข่าย blockchain ให้เป็น “เศษ” เล็ก ๆ (shards) ที่จะถูกนำไปติดตั้งกับกลุ่ม node ที่สามารถประมวลผลข้อมูลของ shard แต่ละ shard ได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าเมื่อระบบ Sharding ถูกเปิดใช้งานแล้วนั้น node ทุก ๆ ตัวของ blockchain จะไม่จำเป็นในการใช้เพื่อประมวลผลธุรกรรมบางส่วนอีกต่อไป ซึ่งแตกต่างจะ blockchain ของ Bitcoin โดยปัจจุบันที่จะต้องมีการตรวจสอบโดย full node เสียก่อน ซึ่งทำให้กินเวลามากกว่า
ส่วนตัว Plasma นั้นเป็นโซลูชันที่ถูกพัฒนาโดยนาย Vitalik และผู้ร่วมก่อตั้ง Lightning Network นาย Joseph Poon ซึ่งจะทำงานคล้าย ๆ กับ Lightning Network ของ Bitcoin โดยเครือข่ายของ Ethereum จะทำการประมวลผล micropayment ด้วยการสร้างเครือข่าย blockchain เล็ก ๆ ภายใน blockchain ตัวหลักเพื่อที่จะทำการประมวลผลธุรกรรมได้ไวขึ้น, เพิ่มความปลอดภัยของโพรโตคอลตัวหลักของ Ethereum ได้ง่ายขึ้น และไม่ทำให้เครือข่ายตกเป็นเป้าของการโจมตี
“เหตุผลก็คือ ผมคิดว่าเลเยอร์แรกและเลเยอร์ที่สองของเครือข่ายนั้นถือเป็นส่วนประกอบสำคัญ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ถ้าคุณลองดูที่ตัวเลขนั้น สิ่งที่พัฒนาขึ้นจากเลเยอร์ 1 และ เลเยอร์ 2 จะคูณเข้าหากัน ถ้าคุณมีโซลูชันการ Sharding นั้น มันก็จะช่วยเพิ่มการ scaling ให้กับ Ethereum ด้วยตัวแปรระดับ 100 หรืออาจจะมากกว่านั้น แต่กระนั้น ถ้าคุณมี Plasma อยู่บนโซลูชันของการ scalaing นั้น นั่นหมายความว่ามันจะไม่เป็นการเพิ่มขึ้นของจำนวน 100 เท่าของธุรกรรม แต่จะเป็น 100 เท่าของจำนวนขาเข้า, จำนวนขาออก, ไม่ว่าจะโซลูชันไหนก็แล้วแต่” กล่าวโดยนาย Vitalik
1 ล้านธุรกรรมต่อวินาที
นาย Vitalik กล่าวว่าการทำงานร่วมกันของโซลูชันเลเยอร์ 1 และเลเยอร์ 2 จะช่วยเพิ่มการ scaling ของเครือข่าย Ethereum ประมาณ 10,000x ซึ่งจะทำให้สามารถประมวลผลธุรกรรมได้ราว ๆ 1 ล้านธุรกรรมต่อวินาที และจะรองรับแอพส่วนใหญ่อีกด้วย
“ดังนั้นถ้าหากว่าคุณได้ 100x จากการ Sharding และ 100x จาก Plasma นั่นก็หมายความว่าคุณจะได้การ scaling ระดับ 10,000x ซึ่งหมายถึง blockchain นั้นจะมีความสามารถในการรองรับแอพส่วนใหญ่ที่ผู้คนกำลังพยายามใช้มัน” เขากล่าว
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น