<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เครือข่าย Ethereum ควรห้ามไม่ให้เครื่อง ASIC ขุดได้ ETH หรือไม่ ?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้มีการจัดประชุมของกลุ่มนักพัฒนา Ethereum เพื่อหารือกับการเปลี่ยนแปลงโค้ดในอนาคต โดยเนื้อหาได้มีการพูดถึงเรื่อง Difficulty Bomb และประเด็นเรื่องควรห้ามไม่ให้เครื่องขุด ASIC ขุด Ethereum ได้ดีหรือไม่ ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันว่าเหมาะสมหรือไม่ และยังไม่ได้ข้อสรุป โดยบทความนี้จะมาพูดถึงประเด็นดังกล่าวว่ามันเหมาะสมหรือไม่

ความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้น

หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เครือข่าย Ethereum ต่อต้านไม่ให้เครื่อง ASIC สามารถขุดได้ เนื่องจาก มีนักขุดเคลมว่ามันจะทำให้เครือข่ายมีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น

โดยปกติแล้ว Ethereum สามารถขุดได้ผ่านการ์ดจอเท่านั้น แต่เมื่อเร็ว ๆ มานี้ ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทผลิตเครื่องขุดเช่น Bitmain ได้เปิดตัวเครื่องขุด Antminer E3 ที่สามารถขุด Algorithm Ethash ได้ และยังเคลมว่าเป็นเครื่องขุด Ethash ที่มีประสิทธิภาพที่สุดในเวลานั้น และปัจจุบันเครื่องขุดดังกล่าวก็กำลังทำงานขุด Ethereum อยู่

นักขุดส่วนหนึ่งได้ออกมากล่าวว่า มันจะทำให้ผู้ที่มีทุนมากสามารถครอบครองกำลังขุดเพิ่มขึ้น ในต้นทุนที่ต่ำลง ไม่ว่าจะราคาเครื่อง และต้นทุนค่าไฟที่ต่ำกว่า ทำให้ผู้ที่มีทุนก็จะมีทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ (ขุดคริปโตได้มากขึ้นเรื่อย ๆ) ส่งผลให้ในระยะยาวหลายปีข้างหน้า จะมีกลุ่ม ๆ หนึ่งมีกำลังขุดที่เพิ่มขึ้นจนไปกระจุกรวมกันที่กลุ่ม ๆ เดียว ซึ่งการ Centralized ของกำลังขุดนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน

เมื่อนักขุดเห็นว่าการ์ดจอของพวกเขาไม่สามารถสู้เครื่อง ASIC ได้ พวกเขาก็จะเริ่มซื้อ ASIC มาขุดแทน เพื่อให้สามารถมีกำลังขุดเทียบเท่ากับผู้ที่ใช้ ASIC เหมือนกันได้ เครื่องขุด ASIC จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้กำลังขุดในระบบเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และแน่นอนว่ากำลังขุดที่เพิ่มขึ้น ย่อมส่งผลต่อค่า Difficulty ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ท้ายสุดแล้ว ผู้ที่ใช้การ์ดจอสามารถขุดคริปโตได้น้อยลงเป็นอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่ใช้การ์ดจอใบเดิม ซึ่งผิดจากที่คาดการณ์ไว้มาก

กลายเป็นว่าจะมีความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้นในระบบขึ้นมา ทำให้ผู้ที่มีทุนหนาก็สามารถเพิ่มกำลังขุดได้ด้วยเครื่อง ASIC แต่ผู้ที่มีทุนน้อยก็จะเพิ่มกำลังขุดได้เพียงแค่การ์ดจอเท่านั้น

การย้ายแหล่งขุดและผลที่ตามมา

ปัญหาเหล่านั้น มักจะตามมาด้วยการที่ผู้ที่ใช้การ์ดจอเลือกที่จะย้ายไปขุดเหรียญอื่น ๆ ที่ยังไม่มี ASIC ไปขุดและ มีค่า Difficulty ไม่มาก เนื่องจากการย้ายไปขุดเหรียญอื่นนั้นให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

ด้วยกำลังขุดของผู้ใช้การ์ดจอจำนวนมากที่ย้ายไปขุดเหรียญอื่น ๆ อาจทำให้มี Altcoins สกุลอื่นได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งเหรียญนั้นอาจขยับขึ้นมาสู้กับ Ethereum ก็เป็นได้

หากเป็นจริง จะมีนักขุดในเครือข่าย Ethereum น้อยลง แต่นักขุดแต่ละคนมีกำลังขุดที่เพิ่มขึ้นแทน และการที่มีนักขุดน้อยลง โดยส่วนใหญ่แล้ว ก็ย่อมแปลว่ามีการใช้งานเครือข่ายนั้นลดลงด้วย เนื่องจากนักขุดถือเหรียญ ถือเป็นหนึ่งในผู้ใช้งานหลัก ๆ ของเหรียญนั้น และไม่มีเครือข่ายไหนแน่นอนที่อยากให้มีผู้ใช้งานน้อยลง

ด้วยประการดังกล่าวทั้งหมด กลุ่มนักพัฒนา Monero เลยทำการ Hard Fork เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องขุด ASIC สามารถขุดได้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับผู้ใช้การ์ดจอเอาไว้ และกลุ่มนักพัฒนา Zcoin พร้อมทั้ง Siacoin ก็ได้ออกมาประกาศว่าจะทำการแบนไม่ให้เครื่องขุด ASIC ไม่สามารถขุดได้เช่นกัน

สรุป

เครื่องขุด ASIC เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขุดได้เป็นอย่างมาก แต่มันก็มีผลกระทบตามมาด้วยเช่นกัน เป็นเหมือนดาบสองคม เช่นทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำภายในเครือข่ายมากขึ้น จนอาจทำให้นักขุดที่ใช้การ์ดจอหันไปขุดเหรียญอื่นที่ได้ผลตอบแทนมากกว่า Ethereum

อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่อง ASIC ขุดไม่ใช่เรื่องชั่วร้ายแต่อย่างใด หากเปรียบเทียบเครื่องขุดเป็นจอบสำหรับขุด Ethereum เครื่อง ASIC ก็เป็นเพียงจอบที่มีประสิทธิภาพกว่าเท่านั้นเอง ไม่ได้ผิดกฎที่วางไว้แต่อย่างใด ซึ่งนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งก็เป็นได้ที่ Ethereum วางแผนจะใช้งาน Casper และเริ่มใช้ Proof-of-stake เพื่อลดบทบาทของการขุดลงไป ต้องติดตามต่อไปว่าสถานการณ์ของ Ethereum จะเป็นเช่นไร

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น