วันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมาได้มีการจัดงาน Digital Thailand Big Bang 2018 ที่ IMPACT ARENA MUNG THONG THANI ภายในงานนั้นได้มีการพูดถึงเรื่องโปรเจกต์ “อินทนนท์ Cryptocurrency ไทย” โดยวิทยากรก็คือ ดร.อัมพร แสงมณี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารเงินสำรองสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่น่าสนใจคือทางแบงก์ชาตินั้นได้มีการเปิดเผยว่าโปรเจ็คเหรียญคริปโตของพวกเขาที่ในขณะนี้ยังอยู่ในช่วง “prototype” นั้นจะมีความเป็น decentralized ในระดับหนึ่งอีกด้วย
โปรเจกต์อินทนนท์
ก่อนหน้านี้ทาง Siam Blockchain ได้รายงานเกี่ยวกับเหรียญคริปโตของไทยที่มีนามว่า “อินทนนท์” ซึ่งได้ถูกเปิดตัวครั้งแรกในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยเหรียญคริปโตบาทนี้ได้รับความร่วมมือของแบงก์ชาติ และ ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยดยระบุว่าโปรเจกต์นี้อยู่ภายใต้ความร่วมมือของธนาคารอีก 5 ธนาคาร (รายงานไม่ได้เผยว่ามีธนาคารอะไรบ้าง)
ซึ่งจุดประสงค์หลัก ๆ ที่สร้างขึ้นนั้นก็เพื่อศึกษาเทคโนโลยี Blockchain ในแง่ของการสร้างเหรียญ Cryptocurrency ขึ้นมาใช้และเพื่อช่วยลดต้นทุนในด้านการเงิน แต่สุดท้ายแล้วโปรเจกต์อินทนนท์จะถูกเอามาใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ ในประเทศเท่านั่นเอง
วันที่ 21 สิงหาคม 2018 แบงก์ชาติได้ประกาศว่าพวเขาจับมือกับแบงก์พาณิชย์ 8 แห่ง ในการผลักดัน”โปรเจ็กต์อินทนนท์” ทดสอบเงินดิจิทัล โดยผู้ที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันออกแบบและพัฒนาระบบต้นแบบของการโอนเงินระหว่างสถาบันการเงิน โดยใช้สกุลเงินดิจิทัลจำลองที่ออกโดยธนาคารกลาง บนแพลตฟอร์ม Corda ซึ่งเป็นระบบ DLT ที่พัฒนาโดยบริษัท R3 โดยโครงการดังกล่าวคาดว่าจะเสร็จสิ้นการทดสอบภายในในไตรมาส 1 ปี 2019
คริปโตบาท
อ้างอิงจาก Live ของ Facebook ของเพจ Digital Thailand Big Bang ใน Session เรื่อง “อินทนนท์ Cryptocurrency ไทย” โดยมี ดร.อัมพร แสงมณี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารเงินสำรองสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นพูดบรรยายนั้น ได้กล่าวถึงเทคโนโลยี Distributed Ledger ในนาทีที่ 3:10 ว่า
“เทคโนโลยี Distributed Ledger นั้นจะสามารถทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมและยังเสริมสร้างความน่าเชื่อถือสูงเพราะทุก ๆ คนจะเห็นข้อมูลที่เหมือนกันนั่นเอง และก็ยังมีตัว Encryption ซึ่งตัว Encryption นี้จะทำให้ทุกคนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สามารถทำงานได้ โดยไม่มีต้องมีตัวกลาง”
ความเป็นส่วนตัว
โดยดร. อัมพร ยังกล่าวถึงความเป็น Privacy ของการใช้เงิน โดยเขากล่าวว่า:
“ระดับความ Privacy ของการใช้เงินนั้นจะสูง เราจ่ายเงินที่ไหนไม่มีใครรู้ มันมีความเป็นส่วนตัวสูง แต่สูงอย่างเดียวนั้นไม่พอ มันมีขีดความสามารถในการ Transfer เงินได้เป็นจำนวนสูง ๆ อีกด้วย โดยทาง Central Bank ก็กำลังพิจารณาว่าระดับของ anonymity (ไม่เปิดเผยตัวตน) ควรอยู่ตรงไหน จึงจำเป็นต้องสร้าง Central Bank Digital Currencies (CBDCs) ออกมานั่นเอง”
ใช้กับธนาคารเท่านั้น
เมื่อกล่าวถึงการใช้งานของคริปโตอินทนนท์นั้น ดร. อัมพรยังกล่าวว่า:
“เหรียญคริปโตไทยเหรียญนี้นั้นได้ทดลองใช้ระหว่างธนาคารเท่านั้นหรือที่เรียกว่า Prototype โดยแยกการใช้งานสองระเภทได้แก่ระดับ Wholesales และ Retail โดย Wholesales นั้นจะใช้กับธนาคารกลางกับธนาคารเท่านั้นและระดับแบบ Retail นั้นก็ยังไม่มีใครใช้เพราะว่ามี Issue เรื่องของ anonymity อยู่ค่อนข้างเยอะ จึงทำให้ Central Bank Digital Currencies ถูกทดสอบใช้กับธนาคารกลางเสียส่วนใหญ่”
Bitcoin ไม่สามารถเป็นเงินได้
เมื่อพูดถึงเรื่องการนำเหรียญ cryptocurrency ที่มีความเป็น decentralized สูงมาก ๆ และไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่าง Bitcoin มาใช้งานทาง ดร.อัมพร กล่าวว่า:
“มันสามารถที่จะนำมาชำระเงินได้ แค่นั้นเอง แต่ถ้าพูดถึงเรื่องความแพร่หลาย หรือการที่มันจะสามารถ Store Value ได้นั้นเนี่ยจะจำกัดเพราะว่าตัวมันเองเนี่ย มูลค่าของมันมีความไม่แน่นอนสูงและก็ไม่ได้มีแบคอัพโดย Institutional”
Decentralized
เมื่อถึงประเด็นเรื่องของเหรียญอินทนนท์แล้วนั้น ดร. อัมพร ได้อธิบายว่า:
“อินทนนน์จะมีความเป็น Decentralized ตรงที่ธนาคารกลาง (Central Bank) จะเป็นคนออกเหรียญ (Issue) แต่คนที่จะมาออกแบบนั้นคือธนาคารมาร่วมกันออกแบบ หรือที่เรียกว่า collaborative design จริง ๆ เราเพิ่งทำใน Week ที่ 2 หรือ 3 เอง”
และเมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยี Blockchain นั้นทางดร. อัมพร ก็กล่าวว่า:
“แทนที่จะต้องมา Verify กับทุกคนใน Nodes นั้น ก็เปลี่ยนเป็นไป Verify กันเฉพาะผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น และข้อดีของ Blockchain นั้นก็คือสามารถทำ Atomic Transaction หรือก็คือการส่งของไปและส่งเงินกลับมาได้เลยในเวลาเดียวกันใน Transaction เดียวกัน จึงทำให้ประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยน Currency นั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
Prototype
ทางดร. อัมพรได้กล่าวว่าโปรเจกต์อินทนนท์ไม่ได้เป็นเพียงแค่ Proof-of-Concept เพียงเท่านั้นโดยเขากล่าวว่า:
“โปรเจกต์อินทนนท์ไม่ได้เป็นเพียงแค่ Proof-of-Concept เพียงเท่านั้นแต่กำลังเป็น Prototype เพราะ Proof-of-Concept มันเป็นแค่แนวคิดเฉย ๆ เรากำลังเทสมันจริง ๆ แต่ยังไม่ถึงขั้น Pilot (ทดลองใช้งาน) และหลังจากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนในการที่จะเชื่อมกับ Central Bank อื่น ซึ่งเราจะได้เห็นอีกปีหรือสองปีข้างหน้า”
โดยสุดท้ายดร. อัมพรได้กล่าวกฏหมายที่เรามีอาจเป็นข้อจำกัดและอาจทำให้เราต้องใช้เวลาเปลี่ยนแปลงระบบ Regulator ในการที่จะนำมาใช้ได้ในระยะยาว นี่ยังเป็นช่วงเริ่มต้นเท่านั้นเอง Environment ใหญ่นั้นอาจยังไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้จริง
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น