<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ก.ล.ต. แห่งประเทศไทยประกาศรายชื่อผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลแล้ว

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หลังจากที่เราได้เห็นเว็บไซต์ผู้ให้บริการด้านกระดานซื้อขายเหรียญ Cryptocurrency ในประเทศไทยจำนวน 7 เว็บไซต์ที่สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามบทเฉพาะกาลตามคำสั่งของ ก.ล.ต. จนกว่าจะมีการประกาศออกใบอนุญาตอย่างเป็นทางการนั้น ล่าสุดในวันนี้ทางผู้ออกกฎหมายดังกล่าวได้ออกมาเผยถึงลิสต์รายชื่อของบริษัทที่ได้รับใบอนุญาต หรือ License อย่างเป็นทางการแล้ว

4 เจ้าที่ได้ใบอนุญาต

โดยอ้างอิงจาก PR ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นั้นได้มีการประกาศถึงรายชื่อของบริษัทผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งประกอบไปด้วย 4 แห่ง โดยแบ่งเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวน 3 รายได้แก่:

  1. บริษัท บิทคอยน์ จำกัด (BX) เว็บไซต์ bx.in.th
  2. บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (BITKUB) เว็บไซต์ bitkub.com
  3. บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ( Satang Pro) เว็บไซต์ satang.pro

ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าและผู้ค้าคริปโทเคอร์เรนซี (Broker/Dealer) จำนวน 1 ราย ได้แก่:

  1. บริษัท คอยส์ ทีเอช จำกัด (Coins TH) เว็บไซต์ coins.co.th

2 เจ้าถูกปฏิเสธ

บริษัท Cash2coin หรือเว็บไซต์ cash2coins.com และบริษัท SEADEX หรือเว็บไซต์ seadex.io นั้นได้ถูกก.ล.ต. ปฏิเสธไม่ให้ใบอนุญาตสำหรับการเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากการดูแลรักษาสินทรัพย์ และระบบการทำความรู้จักตัวตันของลูกค้ายังไม่มีความพร้อมตามมาตรฐานของก.ล.ต. และไม่สามารถแสดงได้ว่าระบบ IT security และ cybersecurity มีความปลอดภัยเพียงพอ

ด้วยเหตุผลดังกล่าวภายใต้บทเฉพาะกาล ทำให้บริษัท Cash2coin และ SEADEX ต้องยุติการประกอบธุรกิจ ซึ่งมีเวลาให้ถึงวันที่ 14 มกราคมนี้ ในการแจ้งลูกค้าและดำเนินการส่วนอื่น ๆ ให้เรียบร้อย ซึ่งไม่ได้เป็นการตัดสิทธิ สามารถทำการยื่นขอใบอีกรอบได้ในอนาคต

1 เจ้ารอพิจารณา

สำหรับบริษัท Coin Asset หรือเว็บไซต์ coinasset.co.th นั้นยังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาอยู่ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารที่มีนัยสำคัญ โดยระหว่างนี้ยังสามารถประกอบธุรกิจได้อยู่

โดยสรุปแล้ว นั่นหมายความว่าบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตอย่างเป็นทางการจะสามารถเปิดให้บริการต่อไปได้ตามปกติ ส่วนบริษัท 2 แห่งก่อนหน้านี้ที่ดำเนินธุรกิจตามบทเฉพาะและไม่ได้รับใบอนุญาต จะต้องยุติการให้บริการไปนั่นเอง

เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้มีการประกาศมาว่า มีผู้ให้บริการทั้งหมด 8 เจ้ามาขอใบอนุญาตได้แก่:

ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) 6 ราย:

  • บริษัท บิทคอยน์ จำกัด (BX) เว็บไซต์ : bx.in.th
  • บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (BITKUB) เว็บไซต์ : bitkub.com
  • บริษัท แคชทูคอยน์ จำกัด (Cash2coin) เว็บไซต์ : cash2coins.com
  • บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (TDAX) เว็บไซต์ : tdax.com
  • บริษัท คอยน์ แอสเซท จำกัด (Coin Asset) เว็บไซต์ : coinasset.co.th
  • บริษัท เซาท์อีส เอเชีย ดิจิทัล เอ็กซ์เชนจ์ จำกัด (SEADEX) เว็บไซต์ : seadex.io

ผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Dealer) 2 ราย ได้แก่

  • บริษัท คอยส์ ทีเอช จำกัด (Coins TH) เว็บไซต์ : Coins.co.th
  • บริษัท ดิจิทัลคอยน์ จำกัด (ThaiWM) เว็บไซต์ : thaiwm.com

ดูเหมือนว่า จะมีเพียง 5 เจ้าหลัก ๆ เท่านั้นที่ได้ใบอนุญาตไปในครั้งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นอีกเรื่องที่น่ายินดีว่า ประเทศไทยมีความก้าวหน้าด้านกฎหมายในวงการคริปโตให้เห็นตั้งแต่ต้นปี

ก้าวต่อไปสู่ ICO Portal

อย่างไรก็ตามใบอนุญาตนี้สำหรับการดำเนินการเว็บเทรดคริปโตเท่านั้น ยังไม่ได้รวมถึงการเป็น ICO Portal แต่อย่างใด ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมา ทางก.ล.ต. มีการเผยว่า จะมีการอนุมัติ ICO Portal เจ้าแรกในต้นปี 2019

การได้รับใบอนุญาตให้เปิดบริการแลกเปลี่ยนเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ได้จากผู้ออกกฎหมายในประเทศไทยนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญของวงการ Blockchain ในไทยเลยก็ว่าได้ เนื่องจากว่าประเทศไทยนั้นเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซี่ยนที่มีการออกใบอนุญาตดังกล่าว และเป็นอีกก้าวที่สำคัญต่อไปสำหรับการที่ ICO Portal จะได้รับอนุมัติ

หาก ICO Portal ได้รับการอนุมัติ มันจะเปิดประตูให้โปรเจกต์ ICO ต่าง ๆ ในไทยเริ่มกลับมาระดมทุนได้อีกครั้งหลังจากถูกจำกัดด้วยกฎหมายอยู่นานหลายเดือน ซึ่งอาจเป็นการจุดประกายให้ตลาดคริปโตในไทยกลับมาคึกคักอีกครั้งก็เป็นได้เช่นต้นปี 2018 ที่มีโปรเจกต์ ICO มากมายเกิดขึ้น และระดมทุนสำเร็จไปหลายโปรเจกต์

การเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ราคาของ Bitcoin พุ่งขึ้นไปแตะ 4,100 ดอลลาร์เมื่อวานนี้ หรือคิดเป็นราคาเงินบาทที่ประมาณ 131,519 บาท ซึ่งหากลองดูโวลลุ่มการซื้อขาย Bitcoin ของตลาดไทยต่อวันนั้น จะมีตัวเลขรวม ๆ อยู่ที่ประมาณ 50-60 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ราคาของเหรียญดังกล่าวนั้นได้พุ่งขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 20,000 ดอลลาร์มาแล้วเมื่อต้นปี 2018 และหลังจากนั้นก็ประสบปัญหาตลาดหมีมาจนถึงในขณะนี้

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น