<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เจาะลึก: การติดตั้ง Bitcoin Wallet ใต้ผิวหนังทำอย่างไร มีราคาเท่าไร และดีไหม?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

แน่นอนว่า ด้วยความที่วงการคริปโตนั้นยังเพิ่งถือกำเนิดมาได้ไม่นานหากเปรียบเทียบกับตลาดการลงทุนอื่น ๆ เลยทำให้ยังไม่มี Solution ในการเก็บคริปโตที่ปลอดภัย และราคาถูกมากนัก เลยทำให้มีผู้คนหันมาสร้างและใช้ Solution ทางเลือกอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Paper, Software, Hardware Wallet หรือในบางกรณีก็ฝัง Wallet ลงไปในร่างกายเลยก็มี

ในปี 2014 นาย Martin Wismeijer ผู้ประกอบการชาวดัตช์ได้ริเริ่มไอเดียของการทำ Wallet สำหรับ Bitcoin ฝังเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า คริปโตของเขาจะมีความปลอดภัยสูงสุด ตั้งแต่นั้นมา ก็เริ่มมี Cypherpunks และผู้ที่ชื่นชอบในเทคโนโลยีเริ่มฝังมันลงไปใต้ผิวหนังของพวกเขาบ้าง ผู้ที่ทำการฝังนั้นก็สามารถไปอวดเพื่อน ๆ และชุมชนของพวกเขาได้ว่า ได้ทำการฝังมาแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่ใช่กระบวนการสำหรับผู้ที่หวาดกลัวความเจ็บปวด

การฝัง Bitcoin Wallet ไปใต้ผิวหนัง

ในตอนแรกที่ได้ยินไอเดียของการฝังอุปกรณ์อะไรบางอย่างลงไปใต้ผิวหนังของเรานั้นอาจดูหลุดโลกไป แต่ที่น่าสนใจคือ ภายในวงการคริปโตนั้น มีผู้ที่ศรัทธาในคริปโตจำนวนมากได้ทำการฝัง Wallet ลงไปใต้ผิวหนังของพวกเขา และเหตุผลนั้นอาจจะมาจากผลกระทบของราย Wismeijer เพราะในวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา นางสาว Bailey Reutzel นักข่าวในวงการก็เพิ่งรายงานว่า เธอเพิ่งได้ทำการฝังมา เพื่อที่จะทำการเก็บ Wallet ไว้อย่างปลอดภัย โดยให้เหตุผลว่า ได้รับแรงบันดาลใจเมื่อได้พบนาย Martjin Wismeijer หรือที่รู้จักกันในนาม Mr. Bitcoin

ในปี 2014 นาย Wismeijer ได้ทำการฝั่ง Bitcoin Wallet ลงในมือทั้ง 2 ข้างของเขา โดยทั้ง 2 Wallets นั้นเป็นแบบชิปแบบชนิด NFC Type 2 ที่มีฟีเจอร์ทั้ง Cold Storage และ Hot Wallet ในปี 2016 นาย Charlie Warzel ได้อธิบายว่า การฝัง Bitcoin Wallet ลงไปในมือของเขาทำให้ เขาเ้ข้าใจในอนาคตของเงินมากขึ้น และเรียกการฝังนี้ว่า “เครื่องหมายของสัตว์ป่า หรือ Mark of the Beast”

มาถึงจุดนี้ หลาย ๆ คนอาจเริ่มสงสัยแล้วว่า ใครกันแน่ที่เป็นคนผลิตชิปเหล่านั้น, มันมีกระบวนการอย่างไร และมันมีราคาเท่าไรในการถูก ‘ฝัง’ อ้างอิงจาก Dangerous Things หนึ่งในผู้ผลิตชิปเจ้าใหญ่ที่สุดเผยตัวเลขออกมาว่า มีผู้คนที่ถูกฝังชิปอยู่แล้วจำนวนประมาณ 100,000 คน พวกเขาได้เชื่อว่า “การ Biohacking นั้นจะเป็นอีกระดับของวิวัฒนาการของมนุษย์”

บริษัทดังกล่าวขายชิป Bio หลากหลายชนิด และแต่ละชนิดมีราคาอยู่ที่:

  • Vivokey spark (134 ดอลลาร์ หรือประมาณ 4,274 บาท)
  • XDF2 Desfire (139 ดอลลาร์หรือประมาณ 4,433 บาท)
  • Xnt NFC chip (99-173 ดอลลาร์ หรือประมาณ 3,157 – 5,518 บาท)
  • Flexnt (149 ดอลลาร์ หรือประมาณ 4,752 บาท)
  • Vivokey Flex one (1,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 31,896 บาท)

อย่างไรก็ตาม ทาง Dangerous Things ได้กำชับว่า การฝังชิปเหล่านี้นั้นต้องทำโดยมืออาชีพเท่านั้น และที่น่าสนใจคือ หากลองค้นหาใน Google ก็จะพบว่า มีมืออาชีพ และ Studio มากมายได้รับทำสิ่งเหล่านี้แล้ว

ราคาค่าฝังชิป

Dangerous Things นั้นไม่ได้แค่ขายชิปอย่างเดียว แต่พวกเขายังขายส่วนเสริมอื่น ๆ อีกด้วย เช่น ชุด Cyborg Transformation ที่มีอุปกรณ์เสริมเพื่อรองรับ Lifestyle ยุคใหม่อีกด้วย ชิปรุ่นเก่า ๆ นั้นจะมีขนาดประมาณเม็ดข้าว และจะถูกเคลือบด้วยแก้วซิลิเกต แต่เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีรุ่นใหม่ ๆ ถูกพัฒนามามากขึ้นในตลาด เพราะนอกเหนือจากทำหน้าที่เป็น Bitcoin Wallet แล้ว มันยังเก็บข้อมูลอื่น ๆ ได้อีกด้วยเช่น ข้อมูลบัตรประชาชน, ข้อมูลทางการแพทย์ และข้อมูลการติดต่อเป็นต้น

นอกเหนือจากบริษัท Dangerous Things แล้ว ก็สามารถซื้อชิปดังกล่าวได้จากบริษัทเช่น Digiwell และ Ksec Solutions และหากตั้งใจจะฝังชิป ก็ควรเตรียมใจสำหร้บค่าชิปไว้ประมาณ 99 – 1,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 3,157 – 31,896 บาท จะมีค่าดำเนินการฝังชิปอีกประมาณ 500 – 1,500 ดอลลาร์ หรือประมาณ 15,948 – 47,844 บาท ซึ่งราคานี้เป็นราคาจาก Studio ต่าง ๆ

คนส่วนใหญ่อาจมองว่า แนวคิดนี้พิลึก แต่ผู้คนที่ศรัทธานั้นเชื่ออย่างหมดใจว่า อนาคตของโลกเราจะถูกนำทางโดยมนุษย์ที่เชื่อมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI ซึ่งจะทำให้มนุษย์เรานั้นพัฒนาไปสู่อะไรที่ยิ่งใหญ่กว่า และหากแนวคิดนี้กลายเป็นเรื่องปกติไป การชำระเงินหรือใช้จ่ายคริปโตจะทำให้ผู้คนสามารถตอบโต้กันได้มากขึ้นอีกระดับ

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น