ทีมจากบริษัทด้าน Blockcahin แห่งหนึ่งนามว่า Coinfirm กำลังเฝ้าตรวจดู Bitcoin จำนวนกว่า 7,000 BTC หรือประมาณ 1.3 พันล้านบาทที่กำลังถูกขโมยออกไปจากเว็บเทรดอันดับหนึ่งของโลก Binance
โดยเมื่อประมาณช่วงเช้าของวันนี้ที่ผ่านมา นักแฮคได้ทำการเคลื่อนย้าย Bitcoin จำนวน 1,214 BTC ไปยัง address ใหม่ จากนั้นก็เคลื่อนย้ายจำนวน 1,337 BTC โดยแบ่งไปยังอีก 2 address ที่นักแฮ็คถืออยู่
ซึ่งหากนับดูแล้ว Binance ถือเป็นเว็บกระดานซื้อขายคริปโตที่ 4 ในปีนี้ที่ถูกแฮ็ค รองมาจาก Cryptopia, DragonEx และ Bithumb.
การแฮ็คเกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยพวกเขาได้ทำการโอน Bitcoin จำนวนกว่า 7,000 BTC จาก hot wallet ของ Binance เข้าไปยังจำนวน wallet หลาย ๆ address ภายใน 1 ธุรกรรมเท่านั้น ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายมันออกมาไปยัง wallet อีกหลาย ๆ ตัว
According to @Coinfirm_io analysis the @Binance hacker has recently moved over 1214 #BTC (~$7.16M) to new addresses
But almost 5786 BTC (~$34.14M) still sit on the #Binance hackers original addresses
More exclusive insights coming!https://t.co/CdRIXAT8dC pic.twitter.com/YUVrHeVOhn— Coinfirm (@Coinfirm_io) May 8, 2019
The #Binance hacker just moved the funds again!
Coinfirm analysis shows 1227 #BTC of the #BinanceHack funds moved to 2 new addresses held by the hacker(Red bubbles)
One holds 707 BTC the other 520 BTC
Below is also a Coinfirm #aml Risk Report of one https://t.co/CdRIXAT8dC pic.twitter.com/c2VZwtfub6
— Coinfirm (@Coinfirm_io) May 8, 2019
The funds have moved again #binancehack #btc @AMLT_Token https://t.co/rstGxwURx6
— Coinfirm (@Coinfirm_io) May 8, 2019
ด้วยการที่เทคโนโลยี Blockchain นั้นมีความโปร่งใส จึงทำให้คนทั่วไปสามารถทำการสืบค้นได้ว่า Bitcoin ที่ถูกโอนออกมาจาก Binance นั้นไปที่ไหนบ้าง แต่ในแง่ที่ว่ากระเป๋านี้ใครเป็นเจ้าของนั้น ไม่มีใครรู้ได้เลย
นาง Amy Castor หรือผู้เชี่ยวชาญด้าน Blockchain เผยว่าสาเหตุที่นักแฮ็คต้องทำการโอนเหรียญ BTC ที่ขโมยไปมาแบบนี้ก็เพื่อพยายามที่จะลบร่องรอยของ (พวก) เขา
“พื้นฐานของการฟอกเงินก็คือ การแยกธุรกรรมออกไปเป็นจำนวนเล็ก ๆ และทำให้มันยากที่จะตามได้” เธอกล่าว
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น