เหรียญดังกล่าวของของทางบริษัท Facebook ได้ถูกเปิดตัวในช่วงวันอังคารที่ผ่านมา โดยทางบริษัทมีแผนการที่จะใช้งานอย่างเต็มรูปแบบในช่วงปี 2020 ที่จะถึงนี้ ซึ่งเหรียญ Libra นั้นจะทำให้ผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่นของพวกเขากว่าหลายล้านคนสามารถทำธุรกรรมต่างๆได้อย่างง่ายดาย ซึ่งรายละเอียดต่างๆนั้นจะได้กล่าวต่อไป
เหรียญ Libra คืออะไร?
กล่าวง่ายๆนั้น เหรียญ ‘Libra’ นั้นเป็นสกุลเงินดิจิทัลซึ่งทาง Facebook นั้นสร้างขึ้นมาโดยใช้ เทคโนโลยี Blockchain ของทางบริษัทเอง ซึ่งเป็นการนำลักษณะเด่นต่างๆของสกุลเงินคริปโตอื่นๆเข้ามาผสมผสานกัน ซึ่งทางบริษัทนั้นได้กล่าวว่าเหรียญของพวกเค้านั้นเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินและสกุลเงินสำหรับคนทั่วโลก
หากดูใน whitepaper ของ Libra แล้วจะพบว่าเหรียญดังกล่าวมีลักษณะเป็น stablecoin ที่มีสินทรัพย์มาค้ำไว้ นั่นหมายความว่ามันจะเป็นเหรียญที่มีราคาผูกติดอยู่กับสกุลเงินนั้น ๆ แบบ 1:1 เช่น 1 Libra เท่ากับ 1 ดอลลาร์เป็นต้น และราคาเหรียญก็จะมีความคงที่ ที่เหมาะกับการนำไปใช้ซื้อสินค้าตามที่ทาง Facbook ได้ทำการออกแบบมันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
แล้วเก็งกำไรเหมือน Bitcoin ได้ไหม
ตามที่ได้กล่าวไว้ด้านบน ว่าเหรียญดังกล่าวมีลักษณะเป็น stablecoin ที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับสกุลเงินสดที่รองรับเงินหลาย ๆ สกุลในตะกร้าเงินสำรอง ดังนั้นราคามันจึงมีความคงที่ ซึ่งจะแตกต่างจาก Bitcoin ที่มีความผันผวนอย่างรุนแรงอย่างมาก ดังนั้นเหรียญดังกล่าวจึงไม่เหมาะที่จะนำมาเก็งกำไรเหมือนกับ Bitcoin เพราะเหรียญ Libra ที่คุณถือไว้ จะมีความนิ่งเหมือนกับสกุลเงิน fiat ที่คุณถืออยู่นั่นเอง
แต่ในทางกลับกัน หากเปรียบ Bitcoin เป็นทองคำ Libra ก็อาจจะเป็นเงินจริง ที่มี Facebook ทำตัวเป็นธนาคาร นั่นหมายความว่าสถานะความเป็น stablecoin ของ Libra นั้นอาจถูกนำมาแลกเพื่อใช้ซื้อ Bitcoin ในเวลาที่เราเก็งกำไรเสร็จแล้ว และต้องการขายออกมาเป็นสินทรัพย์อีกหนึ่งประเภทที่ราคามีความเสถียร ไม่ต่างจากเหรียญอื่น ๆ เช่น USDT, USDC, และ PAX
ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าเหรียญทั้งสองตัวนี้ ไม่ใช่คู่แข่งกันในด้านตัวเก็บมูลค่าอย่างแน่นอน
ทำไมถึงต้องชื่อ ‘Libra’
ชื่อดังกล่าวนั้นมาจากชื่อของมาตรวัดน้ำหนักในภาษาโรมัน ซึ่งเราสามารถพบเห็นมันได้จากการที่มันเป็นสัญลักษณ์แทนหน่วยปอนด์ของอังกฤษ (lb) และสัญลักษณ์ £ ซึ่งมาจากตัวอักษรแรกของคำว่า LIbra นั่นเอง
เหตุผลที่ Facebook เปิดตัวสกุลเงินดังกล่าวพร้อมกับคำถามที่ว่ามันถูกกฎหมายจริงหรือ? ทางบริษัทได้กล่าวว่าพวกเขาต้องการที่จะเข้าถึงกลึ่มคนกว่า 1.7 พันล้านคนซึ่งไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้
อย่างไรก็ตามแน่นอนว่าพวกเขานั้นจะต้องพบกับคำถามที่พวกมากับเทคโนโลยีดังกล่าวมากมาย ทั้งด้านกฎเกณฑ์ที่จะมากำกับควบคุมและปัญหาความน่าเชื่อถือเป็นต้น ซึ่งแม้แต่ในก่อนหน้านี้ทางบริษัทก็ถูกโจมตีในเรื่องดังกล่าวมาไม่น้อย อีกทั้งในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หนึ่งในสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐฯได้ส่งอีเมล์ตรงถึงนาย Mark เพื่อสอบถามถึงนโยบายทางด้านความเป็นส่วนตัวของโปรเจคดังกล่าว
ใครกันแน่ที่เป็นผู้ทำหน้าที่ดูแลการดำเนินการของ ‘Libra’
เหรียญดังกล่าวนั้นจะถูกดำเนินการโดยกลุ่มบริษัทซึ่งมีชื่อว่า ‘Libra Association’ ซึ่งอย่างที่ได้มีการเปิดเผยข้อมูล เหรียญดังกล่าวนั้นเป็นเหรียญประเภท Stablecoin ซึ่งเป็นประเภทของสกุลเงินคริปโตที่ผูกติดกับมูลค่าของสกุลเงินธรรมดาอย่าง U.S. dollar หรือ Euro เพื่อป้องกันปัญหาความผันผวนของสกุลเงินคริปโตอย่างที่เหรียญต่างๆต้องเผชิญ
กลุ่มบริษัทดังกล่าวนั้นอยู่ในฐานะขององค์กรที่ไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไร ซึ่งจะมีสำนักงานอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยองค์กรนี้มีหน้าที่หลักสองประการ อย่างแรกคือการตรวจสอบและอนุมัติธุรกรรมที่เกิดขึ้นในระบบ และอย่างที่สองคือการบริหารจัดการกองทุนซึ่งหนุนสกุลเงิน LIbra อยู่รวมทั้งเปลี่ยนแปลงกองทุนตามสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย
ในตัวองค์กรนั้นเองจะมีส่วนกลางคือ ‘Libra Association Council’ ซึ่งประกอบไปด้วยตัวแทนจากสมาชิกภายในกลุ่มองค์กรซึ่งต่างมีหน้าที่ในการใช่สิทธิของตนในการออกเสียงสำหรับการกำหนดมาตรการหรือนโยบายต่างๆในการบริหารจัดการโครงการ
แม้ว่าทางบริษัท Facebook นั้นจะเป็นผู้สร้างทั้งตัวเทคโนโลยี Blockchain และตัวองค์กรของ Libra ขึ้นมา แต่ในทันทีที่ LIbra นั้นเปิดใช้งานในปี 2020 ที่จะถึงนี้ ทางบริษัทจะปล่อยให้การดำเนินการเป็นของตัวองค์กรเองโดยอิสระ
บริษัทต่างๆเช่น PayPal, Ebay, Spotify, Uber และ Lyft หรือแม้กระทั่ง Andreessen Horowitz, Thrive Capital, Visa, Mastercard และตัวบริษัท Facebook เองนั้นต่างก็ได้ร่วมกันลงทุนอย่างต่ำบริษัทละกว่า 10 ล้านดอลลาร์เพื่อที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารองค์กร Libra Association
แล้วเราจะหาเหรียญ Libra ได้จากไหนล่ะ?
ทางบริษัทนั้นยังไม่ได้มีการกล่าวลงไปในรายละเอียดมากนักถึงการใช้งานของเหรียญดังกล่าว แต่ดูเหมือนว่าทางบริษัทจะดำเนินการไปในแนวทางที่ผสมผสานการดำเนินธุรกรรมแบบดั้งเดิมเข้ากับการดำเนินธุรกรรมบนโลกดิจิตอล
ทางบริษัท Facebook ได้มีแผนการดำเนินการที่คนในวงการคริปโตเรียกมันว่า ‘Air Drop’ ซึ่งเสมือนเป็นการโปรยเหรียญให้คนได้ใช้กันแบบฟรีๆเพื่อเป็นการเริ่มต้นการหมุนเวียนของเงินในระบบ และในระยะยาวนั้นทางบริษัทก็มีแผนที่จะจ่ายเงินเดือนของพนักงานซึ่งดำเนินการในองค์กรของ Libra Association เป็นสกุล Libra ด้วยเช่นเดียวกัน
การใช้งานเหรียญ Libra
เมื่อถึงเวลาที่ตัวเหรียญนั้นมีการเปิดให้ใช้งานจริง ผู้ใช้งานสามารถที่จะดาวน์โหลด Digital Wallet ในชื่อ Calibra มาติดตั้งในอุปกรณ์ของตัวเองได้ โดย Wallet ดังกล่าวนั้นสามารถใช้ในการส่งเหรียญหาผู้ใช้รายอื่นๆ อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่นอื่นๆอย่างเช่น WhatsApp และ Messenger ได้อีกด้วย โดยแม้จะยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าประเทศใดจะเป็นประเทศแรกที่จะมีการใช้งาน แต่ทางบริษัทก็ได้กล่าวในส่วนนี้ไว้ว่า “ใครที่มีโทรศัพท์มือถือนั้นก็สามารถใช้งานได้ทั้งนั้น”
เราจะใช้เหรียญ Libra นี้ซื้ออะไรได้บ้าง?
นอกจากการใช้แอปพลิเคชั่น Calibra ในการโอนเหรียญระหว่างผู้ใช้แล้ว ทางบริษัทได้มีเป้าหมายในการนำเหรียญเหล่านี้ไปใช้งานในการทำธุรกรรมการซื้อขายแลกเปลี่ยนในชีวิตประจำวันให้มากขึ้น ซึ่งอาจสังเกตได้จากบริษัทที่มีส่วนร่วมในโครงการอย่าง Uber และ Lyft ซึ่งมันเป็นไปได้มากที่พวกเขาจะเปิดให้เราสามารถใช้เหรียญดังกล่าวของ Facebook ในการจ่ายค่าบริการของพวกเขาได้
แล้วในเรื่องความปลอดภัยล่ะ?
ทางบริษัทนั้นไม่ได้เมิณเฉยต่อปัญหาความกังวลที่ได้มีการแสดงความเห็นกันไว้มากมายแต่อย่าใด โดยพวกเขาได้กล่าวว่าทางบริษัทกำลังดำเนินการพัฒนาเทคโนโลยีซึ่งใช้ในการป้องกันการฟอกเงินและการปลอมแปลงธุรกรรมได้ ซึ่งจะเป็นมาตรการเดียวกับที่บริษัทเครดิตและเดบิตใช้ในการตรวจสอบและอนุมัติธุรกรรมต่างๆ อีกทั้งพกวเรายังมีแผนที่จะใช้ระบบอัตโนมัติซึ่งคอยสอดส่องพฤติกรรมที่ล่อแหลมของผู้ใช้ อีกทั้งยังได้มีระบบช่วยเหลือในกรณีที่ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าสู่ระบบในบัญชีของตัวเองได้ ซึ่งผู้ใช้ที่ประสบปัญหานี้จากการแทรกแซงบัญชีนั้นจะได้รับการคืนเงินในส่วนที่เสียหายไป
ทั้งนี้เทคโนโลยี Blockchain ของทาง Facebook นั้นจะอยู่ในรูปแบบของ Open Source ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้พัฒนาและนักวิจัยเข้าศึกษาและร่วมกันตรวจดูความผิดปกติของระบบและปัญหาด้านความปลอดภัยที่จะเกิดขึ้น โดยจะมีระบบการให้รางวัลสำหรับผู้ที่สามารถค้นพบจุดบกพร่องภายในระบบได้อีกด้วย
ตัวเหรียญ Libra นั้นจะสามารถสร้างผลประโยชน์ให้กับ Facebook ได้อย่างไร
ทางบริษัทกล่าวว่าในแต่ละธุรกรรมนั้นจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมอยู่ หากแต่ค่าธรรมเนียมเหล่านั้นจะอยู่ในอัตราที่น้อยมาก อีกทั้งค่าธรรมเนียมเหล่านี้นั้นจะถูกโอนไปให้กับเหล่าผู้ให้บริการและผู้ขายสินค้าซึ่งในที่สุดนั้นจะเป็นประโยชน์ทางอ้อมกลับสู่ผู้ใช้งานนั่นเอง
แล้วเราจะมั่นใจได้ยังไงว่าบริษัทจะไม่ขายข้อมูลทางด้านคริปโตให้แก่บริษัทโฆษณา?
ทางบริษัทกล่าวว่าพวกเขาจะเก็บข้อมูลการทำธุรกรรมของผู้ใช้งานแยกออกจากข้อมูลด้านการโฆษณาของผู้ใช้งาน ซึ่งการดำเนินธุรกรรมของ Libra นั้นจะถูกเก็บไว้บนเครือข่าย Blockchain ที่จะไม่มีร่องรอยการทำธุรกรรมใด ๆ ที่สามารถนำไปสู่การระบุตัวตนจริงๆของผู้ใช้งานได้
ที่มา : The Guardian
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น