ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจีนกำลังพัฒนาสกุลเงิน Fiat แบบดิจิตอลเป็นของตัวเองซึ่งดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นแบบที่เหรียญคริปโตส่วนใหญ่เป็นและมีการคาดการณ์ว่าเหรียญสกุลเงินของจีนนั้นจะใช้เพียงแค่คำว่าคริปโตเพียงแค่บังหน้าและไม่ได้ใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการทำงานจริง
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาทางการจีนได้มีการออกมาประกาศว่าพวกเขาเตรียมเปิดตัวเหรียญดิจิตอลเป็นของตัวเองในชื่อ CBDC หลังจากที่ตั้งใจพัฒนาร่วม 5 ปีด้วยกันอย่างไรก็ตามหลังจากการวิเคราะห์คำขอสิทธิบัตรกว่า 50 รายการที่ยื่นโดยธนาคารประชาชนของประเทศจีนเป็นที่ชัดเจนว่ารูปแบบของ Digital Currency นี้จะเป็น Cryptocurrency เท่านั้น
โดยนาย Mu Changchun ผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีนฝ่ายการชำระเงินและการชำระบัญชีได้ประกาศว่าสกุลเงินนี้ควรถูกแบ่งออกเป็น 2 เทียร์ระหว่างธนาคารประชาชนของจีนกับธนาคารพาณิชย์แยกจากกันเพื่อช่วยจัดการกับขนาดของเศรษฐกิจและประชากรของประเทศ และแม้ว่าระบบปฏิบัติการสองระดับจะช่วยหลีกเลี่ยงการกระจุกตัวของความเสี่ยงที่มากเกินไป ซึ่งมีหลายฝ่ายมองว่าการทำงานของสกุลเงินดิจิตอลจีนนั้นไม่ได้เป็น Decentralized อย่างที่มันควรจะเป็น
หลังจากการประกาศของนาย Mu Changchun ทางด้านตัวแทนของธนาคารกลางของจีน (PBoC) ได้พยายามเร่งให้สกุลเงินดิจิตอลดังกล่าวเสร็จให้ได้เร็วที่สุดเพื่อให้พวกเขาแก้ปัญหาการคว่ำบาตรจากอเมริกาและสามารถขยายการลงทุนในประเทศได้ต่อไป
อย่างไรก็ตามในบทพูดของท่านรองผู้อำนวยการธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีนฝ่ายการชำระเงินและการชำระบัญชีที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครได้ทันสังเกตก็คือ
“ระบบการแบ่ง 2 เทียร์จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการยับยั้งความต้องการสินทรัพย์คริปโตและช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับสกุลเงินของประเทศจีน”
แน่นอนว่าจากคำกล่าวที่ท่านรองผู้อำนวยการได้พูดออกมานั้นไม่สามารถอธิบายได้ว่าเหรียญของพวกเขาจะออกมาในรูปแบบไหนสำหรับสกุลเงินดิจิตอลของจีน (CBDC) ทั้งแบบบังคับใช้หรือให้ใช้งานได้โดยสมัครใจ
ย้อนกลับไปที่ห้องปฏิบัติการวิจัยสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางจีน (PBoC) ได้เริ่มต้นพัฒนาและวิจัยในช่วงฤดูร้อนปี 2017 ซึ่งนำโดย Yao Qian ที่ต่อมาได้ลาออกจากตำแหน่งไปในท้ายที่สุดโดยได้ทิ้งการยื่นขอจดสิทธิบัตรมากกว่า 50 รายการทั้งที่คิดค้นหรือร่วมคิดค้นในสมัย Yao Qian ดำรงตำแหน่งมีมากกว่า 20 คำขอที่มุ่งเน้นไปยังข้อกำหนดการออกแบบของกระเป๋าเงินดิจิทัล (digital currency wallet)
โดยเป้าหมายคือการสร้างกระเป๋าเงินสำหรับเก็บเงินหยวนในรูปแบบดิจิตอล อย่างไรก็ตามการยื่นขอสิทธิบัตรกระเป๋าเงินนี้ควรทำหน้าที่เป็นเพียงส่วนเสริมของทรัพย์สินที่ถูกควบคุมที่บัญชีธนาคารเท่านั้น แต่ทว่าดูเหมือนสกุลเงินดังกล่าวจะยังถูกตั้งคำถามว่าระบบของเหรียญดิจิทัลของธนาคารกลางจีนที่จะออกมานั้นมีคุณสมบัติใด ๆ ของ Blockchain ที่จะใส่เข้าไปไว้ในระบบด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความ Decentralized
แม้ว่าเอกสารสิทธิบัตรบางฉบับที่ยื่นเพื่อขอสิทธิทางธนาคารกลางก็เคยสำรวจความคิดประชาชนในการใช้เครือข่ายแบบกระจายเพื่อจัดการโหนดสำหรับตรวจสอบการทำธุรกรรมด้วยเช่นกัน แต่ Changchun ได้กล่าวว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมากลยุทธ์มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมากจากที่มันควรจะเป็น
“เนื่องจากเราใช้สกุลเงินดิติตอลเพื่อแทนที่ M0 เพื่อระดับร้านค้าปลีกนำมันไปใช้งาน ประเด็นที่พวกเราไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้เลยก็คือความต้องการทำธุรกรรมของประชาชนชาวจีนที่มากมายมหาศาล”
โดยเขาได้ยกตัวอย่างการช้อปปิ้งในช่วงวันหยุดของชาวจีนและแสดงให้เห็นว่า Blockchain ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อนำไปใช้ในคนหมู่มากเช่นนี้เอาไว้ว่า :
“ เครือข่ายการชำระเงินของเราในช่วงฤดูการ sale ของ Single’s Day ในปีที่แล้ว มีการทำธุรกรรมสูงสุดอยู่ที่ 92,771 ธุรกรรมต่อวินาที ถ้าใช้ Bitcoin หรือ Ethereum มันก็จัดการกับธุรกรรมได้ที่ละ 10 ถึง 20 ต่อวินาทีเท่านั้น และเหรียญของ Facebook อย่าง Libra ซึ่งจาก White Paper ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ยังสามารถจัดการธุรกรรมได้แค่ 1,000 ธุรกรรมต่อวินาที
สำหรับประเทศที่มีขนาดใหญ่อย่างจีนนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะพัฒนาความสามารถและขยายขอบเขตการทำธุรกรรมโดยอาศัย Blockchain ล้วน ๆ ด้วยเหตุนี้เราจึงตัดสินใจที่จะคงความเป็นกลางทางเทคโนโลยีและไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเพียงแค่ทางเทคโนโลยีเดียวเท่านั้น”
สุดท้ายนี้นาย Changchun ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าถึงแม้ตามธรรมชาติแล้วคริปโตเคอเรนซี่จะมีรูปแบบเป็น Decentralization แต่สำหรับเหรียญของทางธนาคารกลางจีน (PBoC) จะอยู่ในรูปแบบของ two-tier system และ ยืนบนหลักการของ centralized management model ต่อไป
ที่มา coinspeaker.com
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น