<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

3 ตัวแปรที่กำลังสกัดไม่ให้ราคา Bitcoin พุ่งไปที่ 20,000 ดอลลาร์ในขณะนี้

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เราทราบกันดีว่าราคา Bitcoin นั้นมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งภายหลังจากที่ราคาได้พุ่งแตะระดับ 20,000 ดอลลาร์ในช่วงเดือนธันวาคม 2017 นับตั้งแต่นั้นมาชุมชนคริปโตคริปโตก็ต่างเฝ้ารอมาตลอดว่าสักวันหนึ่งมันอาจจะหวนกลับไปที่จุดเดิมได้ในที่สุด แต่อย่างไรก็ตามนี่คือเหตุผลที่จะมาหยุด Bitcoin ไม่ให้กลับขึ้นไปอยู่ที่ 20,000 ดอลลาร์

ความผันผวนของ Bitcoin

ก่อนหน้านี้ราคา Bitcoin มีการผันผวนอย่างมาก โดยมันได้เพิ่มขึ้นสูงถึง 10 เท่า และตามมาด้วยราคาที่ลดลงกว่า 90% ซึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับ Bitcoin

ราคา Bitcoin ได้พุ่งสู่ระดับ 20,000 ดอลลาร์ในช่วงปี 2017 แต่หลังจากนั้นไม่นานราคาก็เริ่มถอยกลับลงมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดราคา Bitcoin ก็ได้กลับไปยืนอยู่ที่ 4,000 ดอลลาร์

ราคา Bitcoin สูงกว่า $ 10,000

แต่ทว่าหลังจากที่มันยืนอยู่จุดต่ำสุดได้ไม่นาน Bitcoin ก็ค่อย ๆ ไต่ขึ้นมาอย่างช้า ๆ สู่ระดับ 7000 ดอลลาร์ , 11000 ดอลลาร์ และ 13500 ดอลลาร์ตามลำดับ ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่า Bitcoin กำลังจะกลับไปสู่จุดสูงสุดเดิมในปี 2017 แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายคนที่ไม่เชื่อเช่นนั้น 

1. นักลงทุนระดับสถาบันยังคงลังเลที่จะลงทุน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมีการพูดถึงคุณสมบัติของ Bitcoin อย่างแพร่หลายในหมู่นักลงทุน อาทิเช่น เรื่องของการกระจายอำนาจและความปลอดภัย ดังนั้นมันจึงกลายเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักลงทุนทุกระดับชั้น แต่อย่างไรก็ตามสถาบันต่าง ๆ ก็ยังคงลังเลที่จะกระโดดเข้ามาในวงการนี้อย่างเต็มตัว เนื่องจากก่อนหน้านี้มีหลายคนหวังว่าการเปิดตัวของแพลตฟอร์ม Bakkt นั่นจะดึงดูดนักลงทุนเข้ามามากมาย แต่มันก็เป็นการเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง

ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ 2 ประการ ที่ทำให้สถาบันต่าง ๆ ยังคงมีความลังเลอยู่ในขณะนี้ ประการแรกก็คือ Bitcoin นั้นเป็นสิ่งพวกเขายังไม่รู้จักดีพอ เนื่องจากว่า Bitcoin ได้ใช้เวลาเกือบหนึ่งทศวรรษแล้วแต่ก็ยังคงมีการทดลองอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าชะตากรรมของ Bitcoin จะเป็นอย่างไรในอนาคต มันอาจเป็นไปได้ที่ คริปโตเคอเรนซี่ตัวอื่นจะเข้ามาแทนที่ Bitcoin หรือตลาดสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดอาจหายไปเมื่อผลการทดลองทั้งหมดนั้นล้มเหลว

การลงทุนสกุลเงินดิจิตอล

อีกทั้งยังมีปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งสถาบันการศึกษาหลายแห่งก็เห็นด้วยว่า Bitcoin มีปัญหาด้านการดูแล ซึ่งต่างจากสินทรัพย์แบบดั้งเดิมที่ได้รับการประกัน ,การสนับสนุนจากรัฐบาลหรือการรับรองจากสถาบันขนาดใหญ่ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จะสามารถมั่นใจได้อย่างไรก็ว่าสินทรัพย์ของพวกเขานั้นจะไม่ถูกแฮ็กหรือถูกขโมย

แต่อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ใช้ที่ถือ Bitcoin จำนวนมากพอสมควรสามารถเก็บไว้ในกระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ได้อย่างง่ายดาก โดยจะมีการสำรองข้อมูลบางอย่างที่จะทำให้เหรียญของคุณปลอดภัย แต่วิธีการเหล่านี้ไม่สามารถใช้ได้กับสถาบันขนาดใหญ่ที่มีคริปโตเคอเรนซี่มูลค่าหลายล้านดอลลาร์ ซึ่งพวกเขาต้องการมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเพื่อให้แน่ใจได้ว่าเงินของพวกเขาจะปลอดภัย

บริษัทบางแห่งอาทิเช่น Coinbase ก็ได้เริ่มนำเสนอโซลูชันการดูแลสินทรัพย์บ้างแล้ว ซึ่งในขณะนี้ Coinbase ได้รับเงินจากลูกค้าเป็นมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ทุกสัปดาห์ แต่ถึงกระนั้นการดูแลรักษาสินทรัพย์ยังคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับนักลงทุนระดับสถาบัน

2. การขาดแคลนทางด้านเทคโนโลยี

Bitcoin ได้ทุ่มเทความเชื่อมั่นทั้งหมดไปกับเลเยอร์การปรับขนาดทั้งสองเทคโนโลยี ซึ่งก็คือ Lightning Network และ Blockstream’s Liquid network  ที่จะอนุญาตให้การทำธุรกรรมสามารถเกิดขึ้นได้ภายนอกเครือข่าย (off-chain) เพื่อลดการทำธุรกรรมใน Blockchain หลัก แต่อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีเหล่านี้มีปัญหาในตัวมันเองและแทบจะไม่มีใครใช้งานเลยในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา

Lightning Network นั้นได้หยุดนิ่งไปนานกว่าหกเดือน แม้ว่าจะมีจำนวนโหนดที่เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่เดือนเมษายนก็ตาม โดยในขณะที่เขียนบทความนี้ Lightning Network มีจำนวนโหนดน้อยกว่า 6,000 โหนด

นอกจากนี้จำนวนชาเนลทั้งหมด , ความจุทั้งหมด และค่าเฉลี่ยความจุชาเนลทั้งหมดเริ่มลดลงนับตั้งแต่เดือนเมษายน โดยหลังจากที่ความจุพุ่งแตะจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 1,000 BTC ได้ไม่นาน ความจุของเครือข่ายก็ค่อย ๆ ลดลง จนกระทั่งในวันนี้เหลือเพียง 818 BTC เท่านั้น

หากไม่มีการแก้ไขเทคโนโลยีการปรับขนาดที่เหมาะสม ในอนาคตนักลงทุนจำนวนมากก็จะเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับศักยภาพของ Bitcoin

3. ความเชื่อมั่นในตลาด BITCOIN

นอกเหนือจากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว Bitcoin ก็ยังมีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อมั่นในตลาด ซึ่งดูเหมือนว่าความเชื่อมั่นเหล่านี้ไม่เพียงพอให้ Bitcoin พุ่งกลับสู่ระดับ 10,000 ดอลลาร์

ในช่วงเดือนมิถุยายนของปีนี้ราคา Bitcoin ได้ไต่กลับขึ้นมาอยู่ที่ 13,800 ดอลลาร์ ซึ่งนั่นทำให้นักวิเคราะห์หลายรายต่างเชื่อว่า ‘ช่วงขาลงของคริปโต’ นั้นได้จบลงแล้วอย่างเป็นทางการ แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะนับตั้งแต่ที่ Bitcoin ได้พุ่งแตะจุดสูงสุดของปีนี้ มันก็ค่อย ๆ เอาหัวโหม่งพื้นและลดลงไปสู่ระดับ 7,000 ดอลลาร์

เมื่อ Bitcoin ได้พุ่งแตะระดับ 20,000 ดอลลาร์ในปี 2017 ความเชื่อมั่นในตลาดก็เริ่มพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งดูเหมือนว่านักลงทุนหน้าใหม่จำนวนมากต่างก็รีบเร่งที่จะเข้ามาลงทุนในคริปโต อีกทั้งมันยังถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายในแทบทุกสื่อ รวมถึงการพาดหัวข่าวอีกนับไม่ถ้วน

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะยังไม่ปรากฏขึ้นในขณะนี้ แต่ถึงกระนั้นเราก็ต้องรอดูกันต่อไปว่ามันจะมีอะไรที่อาจเข้ามากระตุ้นให้เกิดการลงทุนรูปแบบใหม่ในสกุลเงินดิจิทัล

ที่มา : bitcoinist

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น