ราคา Bitcoin นั้นมีทีท่าชะลอตัวลงท่ามกลางข่าวดีของเศรษฐกิจในระดับมหภาคต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์เช่นนี้น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในที่สุดไม่ช้าก็เร็ว โดยหากเป็นในทางกลับกันแล้วหากเศรษฐกิจโดยรวมของโลกนั้นชะลอตัวลง บางส่วนของตลาดผู้คนในตลาด Bitcoin ก็มีความเชื่อว่าราคาเหรียญดังกล่าวอาจปรับตัวสูงขึ้นไปถึงระดับที่ 50,000 ดอลลาร์ได้เลยทีเดียว
ดังนั้นแล้วคำถามต่อมาคือเมื่อไหร่ที่สถาณการณ์ทางเศรษฐกิจซึ่งอยู่ในช่วงขาลงและเอื้อให้กับการเติบโตของตลาด Bitcoin นั้นจะมาถึง โดยเมื่อมองดูสถานการณ์ในปัจจุบันแล้วจะพบว่ากรณีของข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศจีนและสหรัฐฯอเมริกาได้ส่งผลกระทบต่อทิศทางการลงทุนในตลาด และได้สร้างผลกำไรระยะสั้นให้แก่การลงทุนในตลาดหุ้นอีกด้วย
ตลาดหุ้นกำลังไปได้ดี แต่จะไปได้ไกลถึงแค่ไหน?
ในขณะที่ราคา Bitcoin นั้นไม่สามารถกลับตัวขึ้นไปใกล้กับช่วงราคาที่น่าพึงพอใจในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้ อีกทั้งเรายังเห็นการพุ่งขึ้นของราคาไปแตะที่ 14,000 ดอลลาร์ได้เพียงช่วงขณะเดียวเท่านั้น ทางตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างนาวนานนับสิบปีอยู่ ซึ่งหนึ่งใน ขณะนี้ก็ยังคงมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยหนึ่งในปัจจัยนั้นมาจากความมั่นใจทีเพิ่มขึ้นของเหล่านักลงทุนจากรายงานข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศจีนและประเทศสหรัฐฯนั่นเอง
นอกจากนี้แล้วการที่ทางฝ่ายกองทุนสำรองของสหรัฐฯ ได้อัดฉีดเม็ดเงินกว่าพันล้านดอลลาร์ลงในตลาดเพื่อเป็นการแก้ปัญหาด้านสภาพคล่องที่เกิดขึ้นนั้นน่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการเติบโตของตลาดหุ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตามแม้ว่ามองผิวเผินแล้วตลาดดูมีความมั่นคงแต่นาง Lisa Shalett หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของบริษัท Morgan Stanley Wealth Management ได้แสดงความเห็นถึงกรณีดังกล่าวว่าเงินดังกล่าวนั้นถูกอัดฉีดเข้าไปในเหล่าสินทรัพย์ทางการเงินมากกว่าในระบบเศรษฐกิจจริงๆ ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจส่งผลร้ายตามมาได้
“สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้เทียบได้ว่าเรากำลังอยู่บนบันไดก้าวสุดท้ายก่อนที่สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นฟองสบู่เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งในช่วงดังกล่าวพวกเราได้ให้คุณค่ากับเรื่องราวต่างๆ มากกว่าที่จะมุ่งเป้าไปที่การไหลเวียนของเงินภายในระบบและผลกำไร สิ่งเรานี้ดูเหมือนพวดเราต่างก็มีประสบการณ์กันมาก่อนแต่ในที่สุดแล้วเราก็กลับมาอยู่ที่จุดเดิมอีกครั้ง”
นอกจากนี้แล้วผู้เชี่ยวชาญบางรายยังได้ตั้งข้อสงสัยถึงมุมมองต่อรายการเกี่ยวกับข้อตกลงการซื้อขายระหว่างสองประเทศที่เกิดขึ้น โดยนาย Jeffrey Gundlach ผู้ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัท DoubleLine ได้ออกมาชี้ให้เห็นถึงจุดสำคัญต่างๆ เช่นกรณีที่ทางประเทศจีนปฏิเสธข้อตกลงที่จะแก้ไขปัญหาทางด้านทรัพย์สินทางปัญญารวมไปถึงการวางแผนการดำเนินการในระยะยาวของพวกเขา ซึ่งหมายความว่าพวกเขายินดีที่จะดำเนินการตามข้อตกลงดังกล่าวจนกว่าจะมีการเลือกตั้งอีกครั้งที่ซึ่งปัจจัยทั้งสองที่ได้กล่าวไปอาจกลายเป็นเหตุให้ข้อตกลงดังกล่าวถูกยกเลิกก็เป็นได้
เช่นเดียวกับที่ได้กล่าวไปข้างต้น มุมมองจากนักวิเคราะห์หลายรายก็ได้แสดงออกถึงการดำเนินการของทั้งสองประเทศว่าเป็นการซื้อเวลาเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการที่ตลาดหุ้นจะล่มลงรวมถึงการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นอีกเสียด้วยซ้ำ คำถามที่ตามมาคือ แล้วเหล่านักลงทุนทั้งหลายจะโยกย้ายเงินไปที่ไหนในช่วงเวลาที่ซึ่งตลาดนั้นไม่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน
Bitcoin นั้นมีประโยชน์กว่าทองคำจริงหรือ?
นาย Clem Chambers ซึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัท ADVFN ได้ให้ความเห็นไว้ผ่านการสัมภาษณ์ไม่นานที่ผ่านมานี้ถึงการที่สื่อใหญ่ๆ ต่างประโคมข่าวความราบรื่นของเศรษฐกิจโดยรวมซึ่งจะส่งแง่ลบแก่สินทรัพย์อย่าง Bitcoin ไว้ดังนี้
“เมื่อผู้คนต่างคิดว่าเศรษฐกิจนั้นจะมีความราบรื่นจากความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งเมื่อข้อตกลงดังกล่าวนั้นถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนและส่วนแรกนั้นพึ่งได้เริ่มขึ้นไม่นาน ผู้คนคงจะไม่กระตือรือร้นนักที่จะนำเงินสกุลหยวนของพวกเขาไปลงทุนใน Bitcoin … หรือแม้แต่ทองคำซึ่งมีความไม่แน่นอนพอๆ กัน”
นอกจากการรายงานถึงความสำเร็จของข้อตกลงดังกล่าวแล้ว ยังคงมีประเด็นของความไม่แน่นอนอยู่ โดยเฉพาะในช่วงของการพูดคุยซึ่งนาย Chambers ได้กล่าวถึงทางเลือกอื่นของการลงทุนอย่าง Bitcoin และทองคำไว้เพิ่มเติมดังนี้
“ถ้าคุณต้องการที่จะดำเนินการอย่างรวดเร็วแล้ว Bitcoin ก็อาจเป็นหนึ่งในตัวเลือก ซึ่งหากเปรียบเทียบกับทองคำ ซึ่งโดยตัวมันเองคุณไม่อาจที่จะพกพามันไปได้ในปริมาณมากๆ อีกทั้งยังยากต่อทั้งการหาซื้อและการเก็บรักษา ซึ่งมันคงไม่ง่ายนักหากคุณจะเดินไปซักที่แล้วนึกอยากที่จะซื้อทอง แต่สำหรับ Bitcoin นั้นมันง่ายกว่ามากที่จะซื้อ เคลื่อนย้ายหรือแม้แต่จะปกป้อง Bitcoin ของคุณ ซึ่งมองในแง่นี้แล้วทองคำเป็นอะไรที่ไม่สะดวกนัก อีกทั้งการเลือกใช้ทองคำในฐานะเป็นสิ่งทรงมูลค่าซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายข้ามประเทศเพื่อสร้างผลกำไรและเลี่ยงภาษีนั้นเป็นอะไรที่เก่าไปแล้ว”
นอกจากนี้แล้วตัวเขาในฐานะที่เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ที่ดีต่อ Bitcoin ยังได้ออกมากล่าวถึงทิศทางราคาไว้ดังนี้
“ผมว่า Bitcoin นั้นจะขึ้นไปแตะที่ราคา 20,000 ดอลลาร์ได้อย่างง่ายดาย ตัวผมนั้นยังคาดหวังว่ามันจะขึ้นไปแตะที่ 50,000 ดอลลาร์เสียด้วยซ้ำ และผมจะมีความสุขมากถ้ามันจะขึ้นไปสูงถึงแสนดอลลาร์หรือแม้แต่ล้านดอลลาร์ต่อหนึ่งเหรียญ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อ 1 หน่วย Satoshi นั้นมีมูลค่าราว 1 ดอลลาร์… ไม่สิ 1 เซนต์เท่านั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้นั้นเป็นเพียงการคำนวนตัวเลขทางคณิตศาสตร์เท่านั้น”
หลังจากได้กล่าวสนับสนุนทิศทางขาขึ้นที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตัวเค้าได้กล่าวปิดท้ายไว้ว่าการประมาณมูลค่าเช่นนี้จะต้องอาศัยเวลาอย่ามากกว่าที่เราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในทิศทางดังกล่าว ซึ่งหนึ่งในสาเหตุนั้นมีที่มาจากเป้าหมายที่ตัวเหรียญกำลังพุ่งเข้าหา และแรงต่อต้านเพื่อไม่ให้มีการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ดังนั้นแล้วเราทั้งหลายก็ยังคงต้องจับตาดูเศรษฐกิจเพื่อเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ที่มา : newsbtc
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น