เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐ ฯ นั้นมีการเติบโตในไตรมาสที่สามของปี 2019 นี้ที่ 2.1% ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.9% อย่างไรก็ตามเบื้องหลังการเติบโตที่เกินคาดนี้มีปัญหาบางอย่างที่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึงมากนักอยู่คือหนี้โดยรวมของประเทศนั่นเอง ซึ่งในมุมมองหนึ่งนั้น Bitcoin อาจเข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวก็เป็นได้
นักวิจัยข้อมูลทางด้านคริปโตรายหนึ่งซึ่งใช้ชื่อบัญชีทวิตเตอร์ว่า @themooncarl หรือ The Moon ได้ออกมาเปิดเผยถึงหลักฐานของปัญหาเบื้องหลังการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐ ฯ ที่ดูเหมือนว่าแข็งแรงนั้นกลับมีการเพิ่มขึ้นของอัตราหนี้ระดับประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยได้อ้างอิงข้อมูลจาก U.S. National Debt Clock ซึ่งแสดงถึงระดับหนี้ของประเทศสหรัฐ ฯ ในปัจจุบันว่ากำลังอยู่ที่ราว ๆ 23.116 ล้านล้านดอลลาร์ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีอย่างนาย Donald Trump ซึ่งหมกมุ่นกับการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศและผลักดันสิทธิบางประการมากกว่าปกติโดยไม่ได้หวนคิดถึงการเพิ่มขึ้นของปริมาณหนี้ดังกล่าวเลย
The US stock market is at an all-time-high and Trump is happy to point that out.
What he fails to mention is that the the US national debt is also at an all-time-high. See image below to get mind blown.
If I borrow $300,000 to buy a Ferrari, I'll LOOK very rich, same thing. pic.twitter.com/c9IUWkKNHm
— The Moon (@themooncarl) December 13, 2019
เมื่อมองถึงเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าอะไรจะเป็นเครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยจัดการปัญหานี้ได้ หรือจะเป็น Bitcoin ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้คนใช้เป็นเครื่องมือในการหลีกเลี่ยงปัญหาทางด้านการเงินที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2008 กันแน่?
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ต้องรู้ก่อนที่จะทำความเข้าใจที่มาที่ไปของปัญหาที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจในปัจจุบันได้ นั่นคือการปั่นมูลค่าของสกุลเงินนั่นเอง โดยในบางประเทศนั้นได้ใช้การพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเติมเพื่ออัดเงินเข้าสู่ระบบเสมือนเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไปในตัว แต่ก็ตามมาด้วยการลดลงของมูลค่าของสกุลเงินภายในประเทศนั่นเอง หรือในบางประเทศนั้นก็ได้ทำการปรับลดมูลค่าของค่าเงินในประเทศลงด้วยเหตุผลบางประการนั่นเอง
การลดมูลค่าของสกุลเงินนั้นอาจช่วยให้การดำเนินการซื้อขายระหว่างประเทศนั้นมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น แต่มันก็เป็นการลดอำนาจการซื้อรวมทั้งมูลค่าของเงินที่ได้รับจากการทำงานของผู้คนในประเทศอีกด้วยนั่นเอง
ในจุดนี้เองที่ Bitcoin นั้นสามารถเข้ามาช่วยแก้ไข้ปัญหาทางด้านนโยบายทางการเงินที่ส่งผลกระทบในแง่ลบได้ ทั้งนี้กรณีก็ได้มีการพูดถึงสินทรัพย์ในรูปแบบอื่นๆเช่น ทองคำ ที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ด้วยคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกันอย่างเช่นปริมาณของสินทรัพย์ในตลาดที่มีจำกัด รวมถึงคุณสมบัติที่มูลค่าของตัวมันนั้นมีโอกาสน้อยที่จะถูกปั่นมูลค่าได้นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม bitcoin นั้นมีข้อดีมากกว่าทองคำตรงที่ปริมาณสินทรัพย์ในตลาด โดยในแต่ละปีนั้นมีทองคำกว่า 3,300 ตันถูกผลิตออกมาซึ่งมีมูลค่ามากกว่าสองแสนล้านดอลลาร์ที่ถูกเพิ่มเข้าสู่ตลาด ซึ่งตรงข้ามกับ Bitcoin ที่มีปริมาณจำกัดมากกว่า อีกทั้งผู้ผลิตนั้นยังได้รับผลกำไรตอบแทนน้อยลงในทุก ๆ ช่วง 4 ปีผ่านเหตุการณ์ของการ Halving นั่นเอง
ท้ายที่สุดนี้ อย่าลืมว่าการ Halving ดังกล่าวนั้นกำลังจากมาถึงในช่วงครึ่งปีแรกที่จะถึงนี้ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดคึกคักขึ้นอย่างมาก ดังนั้นแล้วตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะเข้าซื้อเพื่อเตรียมตัวทำกำไรในช่วงขาขึ้นที่จะถึงนี้นั่นเอง
ที่มา : Beincrypto
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น