นิตยสาร Konzept ที่ได้รับการตีพิมพ์โดยธนาคารเยอรมัน (Deutsche Bank) เปิดเผยการวิเคราะห์ว่าในทศวรรษใหม่นี้อาจจะเป็นจุดจบของสกุลเงินธรรมดา (Fiat Money) ก็เป็นได้ โดยนาย Jim Reid นักวิเคราะห์ด้านกลยุทธ์ของธนาคารเยอรมันได้วิเคราะห์สาเหตุมากมายที่ส่งผลให้สุดท้ายแล้วผู้คนหมดความเชื่อถือในสกุลเงินธรรมดาซึ่งผูกมูลค่าอยู่กับการควบคุมของรัฐบาลและหันไปใช้สกุลเงินดิจิตอลหรือทองคำแทน
ธนาคารเยอรมัน (Deutsche Bank) กล่าวว่าปัญหาสำคัญของสกุลเงินธรรมดาในตอนนี้คือการที่กลุ่มอำนาจที่ควบคุมสกุลเงินธรรมดานั้นเริ่มอ่อนแอลงตลอดทศวรรษที่แล้ว และทศวรรษหน้ากลุ่มอำนาจเหล่านั้นอาจจะพังทลายลงในที่สุด
โดยความเชื่อมโยงแรกที่ธนาคารเยอรมันต้องการให้ผู้อ่านรับทราบคือสกุลเงินธรรมดานั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อ (Inflation)
โลกเราเข้าสู่ยุคการใช้ระบบสกุลเงินธรรมดาหรือ Fiat Money แบบเต็มตัวตั้งแต่ยุค 1970 หลังจากที่ระบบการเงินเก่าในชื่อ Bretton Woods ล่มไป ระบบ Bretton Woods เป็นระบบสกุลเงินที่จะต้องได้รับการค้ำประกันมูลค่าจากทรัพย์สินที่มีมูลค่าในตัวเช่นทองคำหรือเงิน หลังจากยุค 1970 จึงเกิดระบบสกุลเงินธรรมดาที่แยกมูลค่าสกุลเงินธรรมดาออกจากทองคำอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งสกุลเงินที่ไม่ได้ถูกค้ำประกันมูลค่าด้วยทรัพย์สินอื่นมักจะทำให้เกิดปรากฎการณ์เงินเฟ้อได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างเช่นรัฐบาลที่ตีพิมพ์เงินออกมาได้ตามใจชอบเพราะสกุลเงินของรัฐบาลนั้นไม่จำเป็นต้องได้รับการหนุนโดยทองคำจริงๆ ส่งผลให้เงินในตลาดมีมากและนำไปสู่เงินเฟ้อในที่สุด
หลังจากที่มูลค่าสกุลเงินโลกถูกแยกออกจากทองคำบวกทั้งปัจจัยราคาน้ำมันอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูงมาก แต่ถึงอย่างไรก็ตามในปลายยุค 1970 อัตราเงินเฟ้อเริ่มผ่อนลงโดยที่ไม่มีใครคาดคิด ในปัจจุบันผู้คนเริ่มหลงลืมไปแล้วว่าระบบเงินสกุลธรรมดาเป็นสาเหตุให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อ และแทบไม่มีใครออกมากล่าวถึงภัยของสกุลเงินธรรมดาอีกต่อไป
ซึ่งนาย Jim Reid กล่าวว่าการที่ระบบสกุลเงินธรรมดาสามารถรักษาความมั่นคงมาถึงปัจจุบันได้นั้นต้องอาศัยปัจจัยหลายปัจจัยทั้งที่เกิดขึ้นโดยธนาคารกลางหรือรัฐบาลทั่วโลก
ปัจจัยที่สำคัญมากปัจจัยหนึ่งคือการที่ประเทศจีนก้าวเข้าสู้เศรษฐกิจโลกอย่างเต็มตัว มันส่งผลให้ค่าอัตราเงินเฟ้อในตลาดโลกลดลงอย่างเห็นได้ชัด ประเทศจีนนำแรงงานมหาศาลเข้าสู่ตลาดส่งผลให้ค่าแรงในตอนนั้นเปลี่ยนทิศทางจากสูงขึ้นเป็นต่ำลง ปรากฎการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบไปทั่วโลกเนื่องจากโลกในตอนนั้นได้กลายเป็นโลกแบบโลกาภิวัฒน์ (Globalized World) แล้ว ต้นทุนการผลิตทั่วโลกตั้งแต่ประเทศกำลังพัฒนาจนถึงประเทศพัฒนาแล้วก็เลยลดลงตาม
แต่ถึงอย่างไรก็ตามนาย Jim Reid ได้ยกกราฟอายุแรงงานของประเทศพัฒนาแล้วรวมถึงประเทศจีน กราฟเผยให้เห็นว่าปริมาณอุปทาน (Supply) ของแรงงานนั้นเริ่มลดลงอย่างช้าๆ ส่งผลให้ในทศวรรษ 2020 ค่าแรงของแรงงานจะสูงขึ้น
ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวคือการนำตลาดแแรงงานของประเทศอื่นนอกจากประเทศจีนเข้าสู่ตลาดโลกซึ่งนาย Jim Reid เห็นว่าเป็นเรื่องยากเพราะประเทศจีนนั้นเป็นประเทศที่ใหญ่กว่าประเทศอื่นๆ หลายเท่า การจะหาประเทศที่มีแรงงานแบบประเทศจีนจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
กอปรกับการที่ในช่วง 45-50 ปีที่ผ่านมารัฐบาลหรือธนาคารกลางทั่วโลกมักมีพฤติกรรมการแก้ปัญหาเมื่อปัญหาเกิดขึ้นแทนที่จะแก้ปัญหาแบบถอนรากถอนโคน ในประวัติศาสตร์ถ้าประเทศจีนและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ไม่เข้าสู่ตลาดโลก ค่าอัตราเงินเฟ้อของโลกคงจะไม่ลดลงและมันคงส่งผลให้ระบบสกุลเงินธรรมดาต้องพบกับทางตันแน่
ในปัจจุบันอัตราหนี้ทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นแต่ละปีค่าหนี้สินในสหรัฐรวมกันมีค่าสูงกว่า GDP ถึง 2,000 เปอร์เซ็น ปรากฎการณ์นี้อาจจะส่งผลให้ธนาคารกลางที่มีนโยบายควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่ 2 เปอร์เซ็นไม่สามารถทำอะไรได้ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมการเงินโลกจะแย่ลงก็ตาม
อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นเรื่อยๆ หากไม่มีปัจจัยอื่นเข้าช่วย ส่งผลให้ในที่สุดอุปสงค์ (demand) ในสกุลเงินทางเลือกอื่นๆ จะสูงขึ้นเอง ประชาชนจะเริ่มหมดความไว้ใจในรัฐบาลของตน
ทางรัฐบาลจะต้องเผชิญกับภาวะสองจิตสองใจในการออกนโยบายควบคุมการไหลเวียนเงินอย่างมาก และนาย Jim Reid ตั้งคำถามว่าสกุลเงินธรรมดาจะเอาชีวิตรอดจนถึงปี 2030 ได้หรือไม่
สกุลเงินดิจิตอลจะได้รับประโยชน์จากปรากฎการณ์ดังกล่าวไปเต็มๆ เนื่องจากทุกคนต่างก็ต้องการรักษาเงินของตนจากสภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในอนาคต การวิเคราะห์ของนาย Jim Reid คาดการณ์ว่าคนกำลังเริ่มไว้ใจโค้ดแทนนักการเมือง
นอกจากนี้ทาง Deutsche Bank ยังชี้ว่าจำนวนผู้ใช้งานกระเป๋าเก็บเหรียญ Cryptocurrency บน Blockchain นั้นจะเพิ่มขึ้นถึง 200 ล้าน wallet ในปี 2030 อีกด้วย
ธนาคารเยอรมัน (Deutsche Bank) และนาย Jim Reid ให้ความสนใจสกุลเงินดิจิตอลเป็นอย่างสูง ที่ผ่านมานาย Jim Reid เคยเขียนบทความวิเคราะห์สถานะ Bitcoin หลายครั้ง และเขาเคยพูดถึงประเด็นล่าสุดนี้มาตั้งแต่ปี 2017 แล้ว
ในปี 2017 นาย Tim Reid กล่าวว่า เป็นไปได้ที่ Cryptocurrency หรือสกุลเงินอื่นๆ ที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน จะเข้ามาแทนที่เงินสกุลธรรมดา
“อย่างไรก็ตามการแลกเปลี่ยน Cryptocurrency อาจกลายมาเป็นของสากลมากขึ้นและเป็นคู่แข่งของเงินสกุลธรรมดาในที่สุด”
ในปี 2018 เขาเขียนว่า “ถ้าหากว่าหนึ่งในบริษัทในกลุ่ม GAFA [Google, Apple, Facebook และ Amazon] (หรือของจีนอย่าง BATX [Baidu, Alibaba, Tencent และ Xiaomi]) สามารถที่จะก้าวข้ามผ่านอุปสรรคด้านกฎหมายไปได้ นั่นจะทำให้ cryptocurrency ได้รับความนิยมมากขึ้น, มีการปรับตัวใช้อย่างกว้างขวางมากขึ้น, และทำให้มันมีโอกาสที่จะมาแทนที่เงินสดได้ในท้ายที่สุด”
นอกจากนั้นเขายังเคยชม สกุลเงินดิจิตอลว่ามันมีข้อได้เปรียบก็คือความปลอดภัย, ความเร็ว, ค่าธรรมเนียมที่ต่ำ, การเก็บที่ง่ายดาย และ “การที่มันอยู่ในยุคดิจิทัล” มันจะช่วยขับเคลื่อนการปรับตัวใช้งานให้มากขึ้นอีกในอนาคต
ยุคของระบบสกุลเงินทั่วไปอาจจะใกล้จบลงแล้ว และยุคของสกุลเงินดิจิตอลกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ข้อมูลจาก konzept
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น