<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

อัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงของ Bitcoin เอาชนะของทองคำและหุ้น หลังจากการ Halving แต่ละครั้ง

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

สกุลเงินดิจิตอลมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับหลักทรัพย์อื่นๆ เสมอ Bitcoin เองเคยถูกนำไปเปรียบเทียบกับการลงทุนหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ ของโลก การเปรียบเทียบหลายครั้งมักเผยว่า Bitcoin นั้นเป็นตัวเลือกการลงทุนที่ดีกว่าหุ้นตัวอื่นๆ 

นาย Jon Erlichman นักประกาศข่าวของช่อง Bloomberg สำนักข่าวการเงินที่โด่งดังเคยออกมาเสนอข้อมูลว่า Bitcoin ให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้น เขาเรียบเรียงสถิติข้อมูลว่า Netflix เป็นบริษัทที่มีหุ้นเติบโตขึ้นมากที่สุดตั้งแต่ปี 2010 คิดเป็น 4,177 เปอร์เซ็น Amazon และ Mastercard เองก็สร้างผลตอบแทนมหาศาลให้กับนักลงทุน ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าคำพูดของนักวิเคระห์ที่บอกว่าตลาดหุ้นจะเข้าสู่ช่วงวิกฤตในทศวรรษที่ผ่านมาเป็นคำพูดที่ผิด 

แต่ถึงอย่างไรก็ตามผลการเติบโตของบริษัทเหล่านี้ก็เทียบกับ Bitcoin ที่กลายเป็นการลงทุนที่ผู้คนให้ความสนใจมากที่สุดในทศวรรษนี้ Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิตอลที่ใหญ่ที่สุดมีการเติบโต 8.9 ล้านเปอร์เซ็น ล่าสุดธนาคาร Bank of American Merrill Lynch (BAML) ได้ยกให้ Bitcoin เป็นทรัพย์สินที่มีผลประกอบการที่ดีที่สุดในทศวรรษ

ล่าสุดการวัดอัตราผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยง (risk-adjusted return) เผย Bitcoin เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าหลักทรัพย์อื่นๆ ในระยะเวลา 4 ปี

ข้อมูลชิ้นนี้เปิดเผยโดยนาย Nick Szabo นักวิเคราะห์สกุลเงินดิจิตอล โดยเขาได้นำข้อมูลจาก Woobull เว็บรวบรวมสถิติของนาย Willy Woo

รูปจาก Woobull

การวัดอัตราผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยง (risk-adjusted return) เป็นการคำนวณความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน การวัดแบบนี้จะนำเอาทรัพย์สินหลายๆ แบบมาเปรียบเทียบกันว่าในอัตราความเสี่ยงที่เท่ากันทรัพย์สินใดที่จะสร้างผลตอบแทนได้มากที่สุด การเทียบอัตราเสี่ยงกับผลตอบแทนนั้นคิดเป็นอัตราส่วนออกมาในชื่อว่า Sharpe Ratio การวัดดังกล่าวสามารถช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจเลือกว่าจะลงทุนอะไรได้ง่ายขึ้น

นาย Willy Woo ซึ่งเป็นผู้สร้าง Woobull ออกแบบให้กราฟคำนวณอัตรส่วนในทุกๆ 4 ปี ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา

ผลปรากฎว่า Bitcoin เป็นทรัพย์สินที่ทำกำไรมากที่สุดในอัตราความเสี่ยงเท่าๆ กัน แสดงว่าในระยะเวลา 4 ปี นั้น Bitcoin น้ันเป็นทรพย์สินที่ตอบแทนคุ้มความเสี่ยงที่สุด ทุกๆ 4 ปีจะเป็นช่วงการ Halving พอดีแสดงให้เห็นว่าการ Halving นั้นทำให้ Bitcoin มีกำไรมากกว่าทรัพย์สินอื่นๆ

นาย Nick Szabo บอกว่าสาเหตุที่ Bitcoin แซงทรัพย์สินอื่นๆ ก็เพราะ Bitcoin นั้นไม่ถูกรวมศูนย์และควบคุมโดยรัฐบาลทั่วโลก

“ผู้ถือ Bitcoin ที่ประสบความสำเร็จจะมีระยะเวลาใช้เงินที่นานและทำการตัดสินใจในระยะยาว ตัวอย่างนี้เห็นได้จากการวัดอัตราผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงแบบ 4 ปีของ Bitcoin ถ้านักเศรษฐศาสตร์ยังไม่ได้ศึกษาสัญญาณของตลาดแบบนี้เพื่อที่จะอธิบายอุปสงค์และอุปทาน พวกเขาก็คงไม่มีความคิดเห็นอะไรที่เป็นประโยชน์นัก”

ปัญหาของสกุลเงินทั่วไปนั้นเกิดขึ้นจากการควบคุมของตัวกลางเช่นรัฐบาล นาย Nick Szabo กล่าวว่าสกุลเงินที่ต้องมีรัฐบาลคุมจะไม่ได้รับการสนับสนุนให้เกิดเป็นตลาดเสรีเพราะมันจะถูกบริหารโดยธนาคารกลาง

“ราคาดอลลาร์จะขึ้นโดยตรงกับการตัดสินใจจากกลุ่มผู้มีอำนาจกลุ่มหนึ่ง พวกเขาจะตัดสินใจจากปัจจัยอุปทาน การซื้อทรัพย์สิน หรืออัตราดอกเบี้ย ดังนั้นแล้วคุณควรจะถามพวกเขาว่าพวกเขาสามารถคาดการณ์พฤติกรรมของตนในอนาคตได้ไหม นาดพวกเขาเองยังตอบไม่ได้”

นาย Nick Szabo สรุป

หลังการ Halving ในเดือนพฤษภาคมของปีนี้ค่าอัตราเงินเฟ้อของ Bitcoin จะลดไปอีก ทำให้ผลตอบแทนที่ได้จากความเสี่ยงระดับเดิมของ Bitcoin จะมีสูงขึ้น

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น