รายงานจากนิตยสารและสื่อชื่อดัง Forbes ได้ออกมาเขียนถึง Bitcoin เอาไว้ในหัวข้อเรื่อง “Will Bitcoin Emerge As A Winner? 5 Things To Expect” โดยกล่าวว่าในตอนนี้เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังอยู่ในสภาวะช็อก รายงานจาก The Washington Post ชี้ “เกือบทุกประเภทสินทรัพย์ เช่น หุ้น, พันธบัตร, ทองคำและน้ำมันราคาร่วงโดยกลุ่มหุ้น Dow ร่วงอย่างรุนแรงกว่า 1,300 จุด”
ด้านนาย Tim Draper ก็กล่าวว่า “มันจะเป็น Bitcoin ไม่ใช่ธนาคารหรือรัฐบาลที่เข้ามาช่วย” การ Halving ที่จะเกิดขึ้นในเดือน พ.ค. ก็ทำให้นาย Draper เชื่อว่าราคา Bitcoin จะพุ่งแตะจุด all-time high ที่ระดับราคา $250,000 ภายในปี 2022 และการที่เหตุการณ์ Halving นั้นใกล้จะเกิดขึ้นแล้วนี่คือสิ่งที่คุณอาจจะต้องคาดหวังเอาไว้ว่ามันอาจเกิด
ราคาผันผวนอย่างรุนแรง
ตลาดคริปโตและ Bitcoin จะร่วงอย่างรุนแรงแต่คุณ Richard Ells ซีอีโอของ Electroneum เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนนับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง
เขากล่าวว่า “ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้คงจะเป็นความคิดที่ไม่ฉลาดถ้าจะคาดหวังสิ่งอื่นนอกจากความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดคริปโต แต่เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว ผมกลับมองบวกและคิดว่าเราจะเห็นความรุ่งโรจน์อีกครั้ง” ในตอนนี้ราคา Bitcoin ได้ฟื้นคืนกลับมาแล้วโดยมีราคาอยู่ที่แถวๆ ระดับ 6,500 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นมากว่า 80% จากจุดต่ำสุด 3,800 ดอลลาร์
“การ Halving ครั้งต่อไปใกล้เข้ามาทุกทีและการใช้งานคริปโตก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จากทั่วทุกมุมโลกในเดือนที่ผ่านมา เช่น แพลตฟอร์มฟรีแล้นซ์อย่าง AnyTask ก็มีผู้ใช้งานลงทะเบียนเพิ่มมากขึ้นอีก 51,000 รายภายในสัปดาห์เดียว” นาย Richard Ells กล่าว
Bitcoin แข็งแกร่ง
ด้านของคุณ Dan Schatt ซีอีโอแพลตฟอร์ม Cred เชื่อว่าท่ามกลางวิกฤตสภาพคล่องของโลกมันเป็นไปได้ที่อาจทำลายสินทรัพย์บางประเภทไปได้เลยแต่เขาคิดว่า Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีจะยังคงอยู่
“Bitcoin พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ามีความแข็งแกร่งมากโดยราคาเพิ่มขึ้นมากว่า 33% จากปีก่อนๆ เพราะมันจะกลายมาเป็นสินทรัพย์ที่เอามาไว้เก็บมูลค่าและจะไม่หายไปไหน เงินดอลลาร์ในปี 1970 มีมูลค่าเพียง $0.15 ในวันนี้เพราะอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น อีก 50 ปีข้างหน้าเราจะไม่ได้เห็นอัตราเงินเฟ้อเช่นนี้กับ Bitcoin” คุณ Schatt กล่าว
หากมีกองทุนอย่าง ETFs หรืออื่นๆ เกิดขึ้น ประตูของกรอบกำกับดูแลจะชัดเจนมากขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของกองทุนบำนาญ, กองทุนประกันและประกันชีวิต
“ในออสเตรเลีย ภาครัฐจะเริ่มพิจารณาสินทรัพย์เหล่านี้กับกองทุน ETFs เพราะผู้ออกกฎจะค่อนข้างมีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ความผันผวนของ Bitcoin และสภาพคล่องก็เป็นอุปสรรคทำให้ยังไม่สามารถมีกองทุน ETFs ได้” คุณ Camilla Love ซึ่งเป็น Managing Director ของ eInvest กล่าว “คงจะอีกสักพักกว่าจะสามารถมีกองทุน bitcoin ETF ในออสเตรเลียได้”
นักเทรดซื้อ Bitcoin ที่จุดต่ำ
ก่อนหน้านี้ที่ราคา Bitcoin ร่วงจาก $7,700 มาสู่ $3,800 ใน 24 ชั่วโมง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานจนกระทั่งตอนนี้มันเพิ่มมากว่า 80% ด้านคุณ Jeffery Liu ซีอีโอของบริษัท XanPool กล่าวว่า “มันก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าที่ราคา Bitcoin ร่วงหนักเป็นเพราะตลาดฟิวเจอร์”
“แม้จะมีการเทขายครั้งใหญ่แต่เรากลับมองว่า Bitcoin อาจพุ่งต่อ แพลตฟอร์ม XanPool มีคนทำธุรกรรมแล้วกว่า 20,000 ธุรกรรมในแถวทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักเทรดซื้อ Bitcoin กันเยอะมากและมีน้อยคนที่ขายมัน แสดงให้เห็นว่าราคาร่วงลงเป็นเพราะตลาดฟิวเจอร์ นักเทรดที่เป็นสาย Bull เข้ามาในตลาดและแห่กันซื้อ”
นาย Liu กล่าวว่าไปอีกว่า “การ Halving ที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นานที่จะเป็นการลดซัพพลายของ Bitcoin ที่ขายในตลาดเปิดลงครึ่งหนึ่งจะส่งผลให้มีดีมานด์เพิ่มขึ้นซึ่งทำให้ราคามันพุ่งต่อ”
ราคา Bitcoin อาจได้รับแรงผลักจากระบบเศรษฐกิจปิด
ด้วยเศรษฐกิจโลกที่มีความโกลาหลราคา Bitcoin มีแนวโน้มที่จะได้รับแรงผลักดันจากเศรษฐกิจปิด นาย Tim Shaler หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ iTrustCapital เชื่อว่า “ราคามันจะได้รับแรงผลักจากความต้องการของนักลงทุนพวกเขาเหล่านั้นคาดว่าจะได้ผลตอบแทนคืนมาในอนาคต”
“ตลาดสกุลเงินดิจิทัลมีหลายตลาดด้วยกัน อย่าง Ripple ก็ดูได้รับแรงสนับสนุนจากนักลงทุนที่เชื่อว่าสกุลเงินดิจิทัลจะมีบทบาทสำคัญในอนาคตโดยเฉพาะในตลาดการเงินหรือการโอนเงินข้ามประเทศ ส่วน Bitcoin นั้นจะค่อนข้างมีการใช้งานมาในประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบปิด เช่น จีน อิหร่านและเวเนซูเอล่า ผู้คนในประเทศเหล่านั้นซื้อ Bitcoin เสมือนสินทรัพย์ที่เอาไว้เก็บเงินเพราะพวกเขาเชื่อว่าค่าเงินของสกุลเงินประเทศเขาจะลดลง”
“สงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่านที่เกิดขึ้นเมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาทำให้ราคา Bitcoin เพิ่มจาก $7,000 มาสู่ $10,000 ส่วนราคาที่พุ่งในปี 2017 อาจมาจาก capital control ของประเทศจีน ดังนั้น Bitcoin เลยเป็นสินทรัพย์ที่คนนิยมซื้อกันมาก” เขากล่าว
ราคา Bitcoin อาจไม่เพิ่มช่วงการ Halving
การ Halving ที่จะเกิดขึ้นเมื่อดูจากในอดีตแล้วราคามันจะพุ่งเนื่องจากกฎดีมานด์และซัพพลายโดยหลักคือ
- อุปทานสูงและมีความต้องการต่ำซึ่งนำไปสู่การลดลงของราคาสินทรัพย์ / ผลิตภัณฑ์
- อุปทานอยู่ในระดับต่ำและมีความต้องการสูงซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์ / ผลิตภัณฑ์
หลายๆ คนเชื่อว่าการ Halving จะทำให้ราคาเพิ่มสูงอีกแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่จะเชื่อเช่นนั้น ด้านคุณ Nikolai Udianskyi ซีอีโอของ BTCU และผู้ร่วมก่อตั้งกระดานเทรด Coinsbit ก็กล่าวว่า “หลายๆ คนอาจคิดว่าหลังการ Halving แล้วราคา Bitcoin จะเพิ่มสูงขึ้นแต่ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น อย่างการ Halving เมื่อสองครั้งก่อนมันมีคนที่สนใจตลาดมากๆ และพร้อมที่จะลงเงินและรับความเสี่ยง”
เขายังกล่าวเสริมอีกด้วยว่า “ตอนนี้สถานการณ์ต่างๆ มันเปลี่ยนไปมาก มันไม่มีคนที่ต้องการซื้อ Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ มากขนาดนั้น นักลงทุนเกือบทุกคนมีประสบการณ์คล้ายๆ กันและสรุปคล้ายๆ กันว่าเขาจะซื้อคริปโตต่อหรือไม่ การฮาล์ฟวิ่งเลยไม่ใช่ประเด็นที่จะเอามาถกเถียงว่าราคาบิทคอยน์จะเพิ่มขึ้นหรือไม่”
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น