<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

4 วิธีเอาตัวรอดจากตลาด Bitcoin ในช่วงการระบาดของไวรัส COVID-19 และการ Lockdown

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในเดือนนี้นักเทรดคริปโตทั้งหลายกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกและต้องต่อสู้กับตลาดที่มีความผันผวนอย่างรุนแรง เนื่องจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ที่กำลังสั่นคล่อนตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ในปัจจุบัน

ซึ่งความน่ากลัวของเจ้า Covid-19 นี้เองที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกต่างเริ่มตื่นตระหนกและชะลอตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยในวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา ดัชนีหุ้น S&P 500 ได้ปรับตัวร่วงลดลงอย่างรวดเร็วกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ นับจากจุดสูงสุดของเมื่อช่วงต้นปีนี้หรือตลาด SET ของไทยเองก็ปรับลดลงมากว่า 1400 จุดแล้วเช่นกัน 

แน่นอนว่าผลกระทบเหล่านี้ก็ได้ถูกส่งมายังตลาด Bitcoin เช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้ราคา Bitcoin มีการปรับตัวร่วงลงสู่ระดับที่ต่ำกว่า 9,000 ดอลลาร์ไปเป็น 3,700 ดอลลาร์อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมีการฟื้นตัวกลับขึ้นมาอยู่ที่ 6,000 ดอลลาร์ในปัจจุบัน

จากเหตุการณ์ข้างต้นทำให้หลายคนต่างคิดหาวิธีเอาตัวรอดในตลาด Bitcoin สำหรับช่วงการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 และช่วงการ Lockdown ของหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งบทความนี้เราจะมาช่วยทุกคนหาทางออกในเรื่องนี้กัน

การลดความเสี่ยง

เมื่อไหร่ก็ตามที่ “ระดับความเสี่ยง” ของเราอยู่นอกเหนือจากการควบคุม การเทรดของเราก็จะตกอยู่ในสภาวะตึงเครียด ไม่มีทางเป็นอิสระจากวิธีการคิดหาเงินได้ ทางออกเดียวที่ควรดำเนินการให้รวดเร็วที่สุด จึงเป็นเรื่องของ “การลดความเสี่ยง” เปลี่ยน Mindset เช่นการใช้ Money management , ไม่เทรดแบบ Margin หรือการเทรดโดยใช้เลเวอเรจสูง ๆ 

ในช่วงสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ หากคุณคิดที่จะทำการเทรด คุณควรเลือกใช้ตัวเลือกที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด และต้องมีการวางแผนเงินลงทุนมาแล้วเป็นอย่างดีว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อการดำเนินชีวิตในประจำวันของคุณ หากเงินเหล่านี้สูญเสียไป

การถือเงินสด

ยากเหลือเกินที่จะพูดถึง “การถือเงินสด” ในหมู่นักเทรดคริปโต เพราะปกติแล้วนักเทรดส่วนใหญ่เลือกที่จะเก็บเงินของพวกเขาไว้ใน Bitcoin ไม่ก็คริปโตเพื่อทำการเทรด แต่รู้หรือไม่ว่าสถานะทางการเงินของคุณอาจจะแย่ลงกว่าเดิม หากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

ดังนั้นแล้วคุณควรจะหัดถือเงินสดเอาไว้บ้าง ซึ่งการถือเงินสดนั้นไม่ใช่เพียงแต่ถือเงินสดไว้ในกระเป๋าหรือธนาคารเท่านั้น เพราะคุณยังสามารถถือเงินสดของคุณไว้ในรูปแบบของเหรียญ Stable coin ได้อีกด้วย ซึ่งนอกจากมันจะช่วยให้เงินของคุณไม่ได้ตกในท่ามกลางพายุความผันผวนที่พัดโหมกระหน่ำแล้ว การถือเงินสดยังช่วยให้คุณรู้จักวางแผนทางการเงิน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงิน และนำไปสู่โอกาสในการลงทุนที่ดีในระยะยาวอีกด้วย ซึ่งนี่จะช่วยลดโอกาสเกิดวิกฤตการเงินส่วนตัวได้

วางแผนสำรองเสมอ

ความจริงของโลกใบนี้ก็คือแม้คุณจะปฏิบัติตาม 2 ข้อข้างต้นมาดีแค่ไหน แต่เมื่อไหร่ที่โลกเปลี่ยน ชีวิตของคุณอาจถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งวิกฤตทางการเงินที่มาจากปัจจัยภายนอก มันเป็นเรื่องที่ยากเกินการควบคุม ดังนั้นคุณควรเริ่มต้นวางแผนสำรองง่าย ๆ เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเหล่านี้ เช่น การวางแผนสำรองในกรณีที่คุณตกงาน เจียดเงินเก็บเอาไว้บ้างไม่นำไปลงทุนมากจนเกินไป และควรมีบัญชีสำรองสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้เพียงพออย่างน้อย 3-5 เดือนเสมอ

เรียนรู้วิธีทำให้เงินงอกเงย

การเทรดไม่ใช่วิธีเดียวที่สร้างสามารถรายได้ในวงการคริปโต คุณควรเรียนรู้วิธีรักษาเงินต้นและสร้างรายได้ให้งอกเงยได้ในทุกช่วงเวลา แม้แต่ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤต ซึ่งก่อนหน้านี้ทางสยามบล็อกเชนได้มีการรายงานไปแล้วถึง 3 วิธี รายได้แบบ Passive income จาก Bitcoin และคริปโต ได้แก่ 

รอรับดอกเบี้ยจากเหรียญคริปโตที่คุณถือ หนึ่งในวิธีการที่คุณสามารถรอรับดอกเบี้ยจากสินทรัพย์คริปโตที่คุณมีอยู่คือการนำมันไปฝากกับบริษัท ซึ่งให้บริการแพลตฟอร์มการให้กู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเช่น Celsius Network หรือ BlockFi โดยการเปิดบัญชีกับบริษัทดังกล่าว ทั้งนี้ผู้ฝากสามารถเลือกฝากเหรียญหลักๆในตลาดได้เช่น BTC, Ether หรือเหรียญหลักอื่นๆ เป็นต้น

อย่างไรก็ตามแม้ว่าบริษัทที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้นจะไม่มีการกำหนดปริมาณเหรียญขั้นต่ำของเหรียญที่สามารถฝากได้หรือกำหนดระยะเวลาฝาก-ถอนที่ตายตัว แต่อัตราดอกเบี้ยที่บริษัทเหล่านี้จะทำการจ่ายนั้นจะขึ้นอยู่กับช่วงปริมาณของสินทรัพย์ที่ได้ฝากไว้ เช่น บริษัท BlockFi จะทำการจ่ายดอกเบี้ยในอัตรา 6.2% ต่อปี หากมีการฝากเหรียญ BTC ตั้งแต่ 0 ถึง 5 เหรียญ แต่อัตราดังกล่าวนั้นลดลงอย่างมากเมื่อทำการฝากเกินกว่า 5 เหรียญ ซึ่งอยู่ที่ 2.6% ต่อปี

การลงทุนในเหรียญ  Proof of stake  ซึ่งการลงทุนนั้นทำได้โดยการวางเหรียญคริปโตค้ำประกันไว้เป็นกองกลางใน Wallet  และผู้วางเงินค้ำประกันก็จะได้รับรางวัลจากการประมวลผลบล๊อกข้อมูลเป็นผลตอบแทน ซึ่งเหรียญที่ใช้ในระบบนี้มีให้เลือกมากมายเช่น Tezos, Dash, Stellar, และ Decred

ตัวเลือกอื่น ๆ ในการลงทุนในเหรียญดังกล่าวยังมีอีกมาก เช่นผู้ลงทุนสามารถใช้ Wallet ซึ่งได้เปิดไว้กับ Coinbase หรือ Binance ในการลงทุน Stake เหรียญ Tezos ได้ หรือแม้แต่การที่ผู้ลงทุนสามารถดำเนินการกับเหรียญ XTZ ของตนภายในหน้าแสดงบัญชีได้เลย โดยแลกเปลี่ยนกับการหักค่าดำเนินการเพื่อจ่ายให้กับเหล่า Exchange นั่นเอง

ให้กู้ยืมสินทรัพย์คริปโตที่คุณถือครองอยู่ คุณสามารถดำเนินการให้ผู้อื่นกู้ยืมสินทรัพย์คริปโตที่คุณถือครองอยู่ได้ หากแต่ต้องดำเนินการผ่านผู้ให้บริการสำหรับการจับคู่ระหว่างผู้ให้กู้และผู้ซึ่งต้องการกู้เป็นรายบุคคล หรือที่เรียกกว่า peer-to-peer lending ตัวอย่างผู้ให้บริการเช่น CoinLoan ซึ่งให้ผลตอบแทนการให้กู้ยืมสูงสุดถึง 12% หรือแม้แต่ทางบริษัท Binance ผ่านบริการ Binance Lending ในการสร้างดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทนได้อีกด้วย

ในการให้กู้ยืมนั้นผู้ลงทุนย่อมสามารถที่จะเลือกช่วงเวลาสำหรับการจำกัดการถอนสินทรัพย์ที่ให้กู้คืนได้ตั้งแต่เจ็ดวันไปจนถึงสามปี รวมไปถึงปริมาณสินทรัพย์ที่จะลงได้อีกด้วย ซึ่งตัวอย่างการลงทุนอย่างการให้กู้เป็น ETH นั้น ผู้ลงทุน 35 เหรียญในช่วงระยะเวลา 6 เดือนนั้นจะได้รับผลตอบแทนเป็นเหรียญ ETH จำนวน 2.1 เหรียญ เป็นต้น

เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์สูงสุดของนักลงทุนแล้ว ผู้ลงทุนทุกคนควรที่จะศึกษาตัวเลือกการลงทุนของตัวเองให้ถี่ถ้วนก่อนการลงทุนทุกครั้ง เนื่องจากในช่วงสถานการณ์ที่เกิดวิกฤตนั้นมันมีความไม่แน่นอน และหากผู้ลงทุนยังคงไม่มั่นใจในตัวผู้ให้บริการหรือการเทรด ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คงจะหนี้ไม่พ้นการถือเงินสดหรือเหรียญคริปโตเอาไว้ในระยะยาวด้วยตนเอง

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น