การนับถอยหลัง Bitcoin halving นั้นได้มาถึงจุดที่เราเหลืออยู่อีกแค่ประมาณ 1 เดือนเต็มแล้ว โดยภายหลังจากการ Halving ของ Bitcoin นั้น จำนวน Bitcoin ที่จะเกิดใหม่ต่อ block นั้นจะลดลง 50% ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ได้ทำให้ผู้คนเป็นจำนวนมากหันมาสนใจมันอีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางการพิมพ์ธนบัตรของธนาคารกลางแบบไร้ขีดจำกัดเพื่ออัดฉีดเศรษฐกิจท่ามกลางไวรัส
คำค้นหาคำว่า “Bitcoin halving” นั้นกำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างมากบน Google ซึ่งบ่งบอกว่าผู้คนจากทั่วโลกนั้นต่างก็กำลังรอคอยการมาของการ halving นี้ และไม่เพียงแค่นั้น นั่นยังรวมถึงคำค้นหาอื่น ๆ อีกด้วยอย่างเช่น “Bitcoin halving prediction”, “Bitcoin halving price prediction”
ประเทศที่นำหน้าคำค้นหาคำว่า bitcoin halving อยู่นี้คือสโลเวเนีย, เซนต์เฮเลน่า, สวิตเซอร์แลนด์, สิงคโปร์, และเนเธอร์แลนด์ นอกจากนี้ยังมีประเทศอื่น ๆ ที่กำลังไล่ขึ้นมาบน Top 10 อย่างแอฟริกาใต้ และเวเนซุเอล่าอีกด้วย
Bitcoin นั้นมีจำนวน supply จำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ และตัวเลขนั้นไม่ว่าใครก็ไม่สามารถที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงได้อีก ซึ่งแตกต่างจากของธนาคารกลางที่มีนโยบายการพิมพ์เงินใหม่ที่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้ตลอด รวมถึงเลือกได้ด้วยว่าจะให้มันไม่ถูกผูกอยู่กับสินทรัพย์อะไร อย่างเช่นมาตรฐานทองคำในอดีตที่ถูกถอดออกไป
ผู้สนับสนุน Bitcoin กล่าวว่าเหรียญตัวนี้มันจะพิสูจน์ตัวมันเองในการเป็นสกุลเงินของโลก เนื่องจากด้วยการที่มันไม่อยู่ภายใต้อำนาจของใครคนใดคนหนึ่ง จึงทำให้มันมีความเป็นกลางสูงมาก อีกทั้งยังไม่ต้องมาพะวงเรื่องเงินเฟ้ออีกด้วย
เมื่อความสนใจในการ halving จากทั่วโลกนั้นเริ่มสูงขึ้น เราอาจจะได้เห็นความผันผวนของราคาพอสมควรก่อนวันที่ 11-13 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ ทว่าภายหลังจากการ halving นั้นนักวิเคราะห์ชี้ว่ามันอาจจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อราคามากสักเท่าไรนัก
นาย James Todaro หัวหน้าฝ่ายนักวิจัยจากบริษัท TradeBlock ได้คาดการณ์ว่าราคานั้นจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง
“ภายหลังจากที่การ halving ของ Bitcoin เกิดขึ้นแล้วนั้น ค่าของจุดคุ้มทุนของนักขุดนั้นจะสูงขึ้นจากระดับราคาที่ 7,000 ดอลลาร์ไปที่ 12,000-15,000 ดอลลาร์ ต่อ 1 BTC ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากว่าเราได้เห็นราคา Bitcoin ที่พุ่งสูงกว่าเลเวลระดับนั้น เพื่อให้นักขุดนั้นยังคงสามารถขุดได้อย่างคุ้มทุนต่อไป”
นักวิเคราะห์มืออาชีพ PlanB ผู้นำเอาโมเดล stock-to-flow มาใช้ทำนายราคา Bitcoin เผยว่าเขานั้นเชื่อว่าราคา Bitcoin นั้นกำลังจะมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น
“ในการที่จะทำให้ระดับของมันนั้นอยู่ที่ 7,000 ดอลลาร์ได้ตั้งแต่เมื่อช่วงตุลาคมปี 2017 นั้น จะต้องมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาในตลาด Bitcoin ราว ๆ 400 ล้านดอลลาร์ในทุก ๆ เดือนเป็นเวลา 2.5 ปี!
ภายหลังจากการ halving นั้นพวกเราต้องการเพียงแค่ 200 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนเท่านั้นเพื่อให้ราคาคงอยู่ที่ระดับ 7,000 ดอลลาร์ แต่ถ้าหากว่าจำนวนเม็ดเงินที่เข้ามายังคงเป็น 400 ล้านดอลลาร์ เราก็จะได้เห็นราคาที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง”
ส่วนในเรื่องของเทรนด์ระยะยาวนั้น นาย Chamath Palihapitiya ผู้ก่อตั้งบริษัท Social Capital กล่าวว่าBitcoin นั้นถ้าไม่ moon ก็จะตายเลย มีอยู่แค่สองอย่าง พร้อมชี้ว่ามันมีโอกาสที่ราคาจะพุ่งขึ้นแตะ 1 ล้านดอลลาร์ด้วยโอกาสที่ราว ๆ 5-10%
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น