<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

วิจัยใหม่เผยราคา Bitcoin จะพุ่งแตะ $397,000 ภายในปี 2030

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

รายงานใหม่จากกลุ่มวิจัยด้านคริปโตแสดงให้เห็นว่าราคาของ Bitcoin จะสามารถเข้าใกล้ระดับ $ 400,000 ได้ภายในอีกสิบปีข้างหน้า

อ้างอิงรายงานการวิจัยคริปโตฉบับเดือนมิถุนายน 2020 ระบุว่า นักวิจัยคาดการณ์ว่าราคาของ Bitcoin (BTC) และ altcoins ตัวอื่น ๆ อย่างเช่น Ethereum (ETH) Litecoin (LTC), Bitcoin Cash (BCH) และ Stellar (XLM) จะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงก่อนถึงปี 2025 ซึ่งอาจใช้เวลาไปอย่างน้อยอีก 5 ปี  

“เราเชื่อว่า Bitcoin ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของช่วงการยอมรับ” รายงานระบุว่า “ราคา 7,200 ดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี 2019 แสดงให้เห็นแล้วว่า Bitcoin ได้ทำการแทรกซึมเข้าไปน้อยกว่า 0.44% ของตลาดที่สามารถเข้าถึงได้ทั้งหมด [มูลค่า 212 ล้านล้านดอลลาร์] หากการแทรกซึมเข้ามาในครั้งนี้สามารถเข้าถึงได้ประมาณ 10% ของทั้งหมด ราคาที่ควรจะเป็นก็จะอยู่ที่เกือบ ๆ  $ 400,000”

Source: Crypto Research Report

ซึ่งนั่นหมายถึงการเพิ่มขึ้นของราคามากกว่า 4,000% จากระดับราคาในปัจจุบัน ส่วนทางด้านเหรียญ ETH, LTC และ BCH ก็ถูกมองว่าเป็นขาขึ้นในสถานการณ์นี้เช่นเดียวกัน โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1,600%, 5,000% และ 5,400% ตามลำดับ

ความเร็วของในเครือข่ายลดลง , ความเร็วนอกเครือข่ายเพิ่มขึ้น

รายงานดังกล่าวยังได้สำรวจตัวชี้วัดความเร็วทั้งในและนอกเครือข่ายสำหรับเหรียญ altcoins อีกด้วยและสรุปได้ว่า “การเติบโตของจำนวนธุรกรรมสำหรับการเก็งกำไรในเว็ปเทรดนั่นเติบโตเร็วกว่าการธุรกรรมทางสาธารณูปโภคเพื่อการซื้อสินค้าและบริการ”

ความเร็วในเครือข่าย “เป็นตัวชี้วัดที่ประเมินได้จากการทำธุรกรรมบนเครือข่ายบล็อกเชน”ในขณะที่ “ความเร็วของนอกเครือข่าย” จะถูกกำหนดโดยกิจกรรมการซื้อขายในการเว็ปเทรดคริปโต โดยเมื่อทำการวิเคราะห์ นักวิจัยพบว่าราคาของเงินดิจิทัลและกิจกรรมของเว็ปเทรดทั้งสองได้เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน :

Source: Crypto Research Report

“หากคริปโตเคอเรนซี่ได้รับการยอมรับสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการเก็บสะสมไว้ในระยะยาวหรือสำหรับการใช้จ่ายเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นหรือจ่ายเงินค่ากาแฟ ราคาของสินทรัพย์คริปโตก็จะเพิ่มสูงขึ้น รายงานการวิจัยคริปโตยังระบุต่อด้วยว่า “ความเร็วในเครือข่ายที่ลดลงและความเร็วนอกเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์คริปโตกำลังถูกนำมาใช้สำหรับการเก็งกำไรมากขึ้นและไม่ใช่เพื่อการเก็บสะสมในระยะยาว”

ที่มา : cointelegraph