<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ผู้เชี่ยวเผยระบบการ Staking ของ Ethereum เพื่อทำรายได้แบบ Passive income อาจทำให้คุณตกอยู่ในความเสี่ยง

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หลังจากที่กระแส FOMO ของ Defi สิ้นสุดลง นักลงทุนจะแห่พากันไปซื้อ Ethereum ด้วยความหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการ Staking เมื่อ Ethereum 2.0 มาถึง แต่อย่างไรก็ตามเมื่อบริการ Staking ได้ถือกำเนิดขึ้น สิ่งนี้จะมาพร้อมกับภัยคุกคามที่ร้ายแรง

ภัยคุกที่ร้ายแรงจากการ Staking ของ Ethereum

การอัปเกรด Ethereum 2.0 ที่หลายคนกำลังเฝ้ารอ นั้นดูเหมือนจะเลื่อนออกไปอีกครั้ง แม้ว่าก่อนหน้านี้ทีมนักพัฒนาสัญญาว่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูร้อนนี้ก็ตาม 

นาย Brian Crain ผู้ก่อตั้ง Chorus One ซึ่งเป็นบริการด้านบล็อคเชนที่ใช้ตรวจสอบความถูกต้องของเครือข่าย Staking นั้นมีคำเตือนเล็กน้อยสำหรับ POS ของ Ethereum

“Proof of stake networks ไม่ได้ถูกออกแบบด้วยแนวคิดที่ว่าเว็ปเทรดจะสามารถให้บริการการ Staking ได้” นาย Crain กล่าวในการสัมภาษณ์กับทางสื่อข่าว Crypto Briefing “การรวมตัวกันในเครือข่ายดังกล่าวทำให้เกิดความเสี่ยงอย่างมาก”

นาย Crain และทีมงาน Chorus One เผยแพร่รายงานกว่า 81 หน้าเมื่อเดือนที่แล้วโดยสรุปถึงความเสี่ยงที่ร้ายแรงเหล่านี้

เมื่อเว็ปเทรดชั้นนำระดับโลกอย่างเช่น Binance, Coinbase, KuCoin และเว็ปเทรดอื่น ๆ เริ่มให้บริการการ Staking ผู้ใช้ก็จะเริ่มโล่งใจ แทนที่จะตั้งค่าอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ด้านบล็อคเชนที่ซับซ้อนและตรวจสอบให้แน่ใจว่าโหนดนั่นทำงานได้อย่างถูกต้อง พวกเขาสามารถมอบความรับผิดชอบเหล่านั้นให้กับทางเว็ปเทรดได้

น่าเสียดายที่ความสะดวกสบายนี้มาพร้อมกับค่าใช้จ่าย ซึ่งเห็นได้จากการต่อสู้ระหว่างชุมชนของ Steemit และนาย Justin Sun ผู้ก่อตั้ง Tron

หลังจากเข้าซื้อกิจการของ Steemit นาย Justin Sun ก็พยายามเข้า take over ผู้ผลิตบล็อคทั้งหมดในเครือข่าย เว็ปเทรดต่าง ๆ ได้เข้ามีส่วนร่วมสำหรับการโจมตีในครั้งนี้ เนื่องจากพวกเขามีสินทรัพย์ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก และในที่สุดการ take over ของนาย Justin ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่บทบาทการเข้ามามีส่วนร่วมของเว็ปเทรดในครั้งนี้ได้เผยให้เห็นถึงข้อบกพร่องในสภาพแวดล้อมการออกแบบระบบ PoS ในปัจจุบัน

หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น นาย Crain ระบุว่า การล็อคสินทรัพย์ไว้กับการ Staking นั่นใช้เวลาที่นานมากเกินไป เขาระบุว่าเวลาที่สูญเสียไปนั่นเท่ากับผลกำไรที่หดหายไปของผู้ใช้ ดังนั้นสิ่งนี้จะส่งผลให้เกิดการใช้เงินทุนอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

และด้วยความตื่นเต้นในการอัพเกรด ETH 2.0 การออกแบบนี้จึงเป็นภัยคุกคามที่สำคัญมากต่อคริปโตเคอเรนซี่อันดับสองของโลก

การ Staking ของ Ethereum อาจต้องมีการแก้ไข

ผู้ใช้ต่างทราบดีว่าเหรียญ Eth ขั้นต่ำ 32 เหรียญ นั่นคือจำนวนขั้นต่ำที่จำเป็นสำหรับการ Staking ในเครือข่ายของ Ethereum แต่เมื่อพวกเขาเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการ Staking แล้ว ชุมชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามันจะมีการกระจายอำนาจอย่างเพียงพอ

มันเป็นเรื่องท้าทายทางด้านเทคนิคสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ในการตั้งค่าเครื่องมือตรวจสอบความถูกต้องและความเสี่ยงที่มีมูลค่าสูงถึง $ 8,400 ในเทคโนโลยีใหม่นี้  “แม้ว่าจะมีใครหลายคนในชุมชน Ethereum พร้อมที่จะสาธิตตัวตรวจสอบความถูกต้องของในการ Staking แต่สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน” นาย Crain กล่าว

ผู้ดูแลระบบจะมีอำนาจเช่นเดียวกับเว็ปเทรดคริปโต ในการแบกรับความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงนี้เอาไว้ ซึ่งมันอาจเป็นเรื่องที่ดีขึ้นหรือแย่ลง แต่อย่างไรก็ดีมีบางคนมองว่าข้อเสนอนี้จะประสบความสำเร็จในที่สุด

นาย Kosala Hemachandra ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ MyEtherWallet กล่าวไว้ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับทาง Crypto Briefing ว่า : 

“ผมไม่คิดว่าจะมีความกังวลเกิดขึ้นที่นี่ ผมไม่หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์สำหรับเว็ปเทรดในครั้งแรก (อย่างน้อยในช่วงแรก) เมื่อคุณล็อคเหรียญ ETH ของคุณเพื่อทำการ Staking มันจะไม่มีทางที่จะเอามันกลับคืนมาได้เลย ดังนั้นเว็ปเทรดอาจจะเพิ่มการรับรองเหรียญ bETH ซึ่งมีมูลค่าเทียบเทียบกับ ETH แบบ 1:1 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้เหรียญ ETH ของพวกเขาในระหว่าง Staking ได้ แม้ว่าในกรณีนี้พวกเขาจะมีความเสี่ยงสูง ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เหรียญ BETH ของพวกเขาจะสามารถแลกเปลี่ยนไปเป็น ETH จริง ๆ ได้”

bETH หรือ Beacon Ether คือเหรียญ ETH ที่ถูก Stake ไว้ใน Beacon Chain ของ Ethereum และ Beacon Chain นีานคือการเปลี่ยนผ่านไปยังเฟส 0 ของเครือข่าย Ethereum 2.0 จากระบบ PoW ไปเป็นระบบ PoS

ตามที่นาย Hemachandra กล่าวไว้ข้างต้นการ Staking บน beacon chain เป็นสะพานแบบ One-way ดังนั้นมันจึงยังไม่ชัดเจนว่าเมื่อใดถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นและในขณะเดียวกันผู้ใช้ก็กำลังเพลิดเพลินกับผลตอบแทนที่ได้รับจากการทำฟาร์มในโครงการ DeFi

นาย Anthony Sassano หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Set Protocol และผู้ร่วมก่อตั้ง EthHub กล่าวว่า ความเสี่ยงนั้นแตกต่างกันออกไปในแต่ละกิจกรรม

หากการ Staking ในเหรียญ ETH สามารถดำเนินการได้ตามที่โฆษณาเอาไว้ แฟน ๆ ของ Ethereum ก็มีแนวโน้มที่จะแห่พากันมาทำการ Staking ในเครือข่ายของ Ethereum มากขึ้นและดูเหมือนว่าจะมีความปลอดภัยที่มากกว่าการทำฟาร์มของ Defi ซะด้วย

แต่ถึงอย่างนั้นนาย Crain หรือแม้แต่นาย Hemachandra ก็ยังคงเชื่อมั่นว่าการ Staking ของ Ethereum จะได้รับการแก้ไขในท้ายที่สุด

การนำเสนอโมเดลการ Staking ในรูปแบบอื่น ๆ 

Liquid staking เป็นอีกทางเลือกหนึ่งนายที่ Crain และทีม Chorus One ได้เสนอไว้ในรายงาน มันแสดงให้เห็นถึงสัดส่วนการถือโทเค็นของเจ้าของสินทรัพย์และสร้างตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่า

แทนที่จะใช้โทเค็นที่ถูกล็อคเอาไว้ ผู้ถือสินทรัพย์สามารถใช้การเป็นตัวแทนของโทเค็นเหล่านี้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ อีกมากมาย นาย Hemachandra กล่าวว่า :

“ความงดงามของ Ethereum คือ ความสามารถในการอำนวยความสะดวกให้กับระบบใหม่เหล่านี้ได้ และการใช้โทเค็นผลตอบแทนจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ประโยชน์จากผลตอบแทนที่ได้รับจากการ Staking ได้ทันที อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงทางออกเดียวและยังมีอีกโมเดลอื่น ๆ อีกมากมายที่ยังไม่ได้ถูกค้นพบ”

ยกตัวอย่างเช่นโปรเจค RocketPool และ StakerDAO แต่ละทีมได้พยายามใช้การ Liquid Staking ในรูปแบบอื่น ๆ 

Liquid Staking Taxonomies

RocketPool จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถฝากเงินจำนวนเล็กน้อยเพียงแค่ 0.01 ETH ทันทีที่ Beacon chain เปิดให้มีการใช้งาน แทนที่จะต้องรอให้ถึงเฟส 2 ผู้ใช้ที่ทำการ Stake ก็จะได้รับโทเค็น rETH ที่เป็นตัวแทน Eth ของพวกเขามาใช้ได้ในทันที ETH ที่ฝากจะถูกกำหนดโดย “smart node” ให้ฝากเป็นจำนวนเท่าใดก็ได้

นาย Crain กล่าวว่า RocketPool นั่นเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่บ่งชี้ว่าวิธีการ Staking บน Ethereum นั่นสามารถปรับปรุงได้

สรุปไม่ว่าจะเป็นการทำรายได้แบบ Passive income ด้วย DeFi หรือการ Staking ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการรวมศูนย์อำนาจนั้นไม่สามารถมองข้ามไปได้ ไม่ว่าผลตอบแทนของมันจะดีมากเพียงใดก็ตาม

ที่มา : cryptobriefing