จำนวนมูลค่าของสินทรัพย์ที่ถูกล็อคไว้อยู่บน decentralized finance (DeFi) ได้พุ่งทะลุ 4,000 ล้านดอลลาร์แล้ว ส่งผลทำให้ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมบนเครือข่ายของ Ethereum พุ่งแตะระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบ 3 ปี
ข้อมูลจากเว็บไซต์ด้านการวิเคราะห์บล็อกเชน Glassnode ได้เผยว่า
“จำนวนค่าธรรมเนียมที่ถูกใจให้กับนักขุดทั้งหมดดูเหมือนว่าจะมากกว่าของในช่วงปี 2017 เสียอีก ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา 22.2% ของรายได้ของนักขุด ETH นั้นมาจากค่าธรรมเนียม”
สาเหตุหลักที่ทำให้ค่าธรรมเนียมของเหรียญดังกล่าวสูงขึ้นนั้นดูเหมือนจะมาจากความต้องการในตลาดของ DeFi เมื่อมีผู้ใช้เข้ามาใช้บริการระบบดังกล่าวมากขึ้นขอส่งผลทำให้พวกเขาต้องแห่กันจ่ายค่าธรรมเนียมมากขึ้น และค่าธรรมเนียมที่มากขึ้นก็หมายถึงการที่ผู้คนยอมจ่ายค่าธรรมเนียมเยอะๆเพื่อให้ธุรกรรมของพวกเขาไปถึงที่หมายได้รวดเร็วขึ้น
DeFi ส่งผลทำให้ค่าธรรมเนียมของเครือข่าย Ethereum พุ่งสูงขึ้น
ข้อมูลจาก Ycharts แสดงให้เห็นถึงอัตราค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ยบนเครือข่ายของ Ethereum ที่เพิ่มไปแตะ 1.59 ดอลลาร์ แต่ในบางครั้งมันก็พุ่งไปแตะ 5 ดอลลาร์หรือ 15 ดอลลาร์เลยทีเดียว
นักเทรดไม่ประสงค์จะเอ่ยนามรายหนึ่งได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมที่พุ่งสูงขึ้นดังกล่าวว่า
“ค่าธรรมเนียม eth พุ่งแตะ 15.5 ดอลลาร์แล้วจากระดับ 10 ดอลลาร์เมื่อวานนี้ นี่มันเหมือนกับแฟลตฟอร์ม crypto kitties แต่ว่าถูกฉีดสเตียรอยด์เลยนะเนี่ย สิ่งที่ผมต้องการจะทำในตอนนี้ก็แค่ฟาร์มเศษขนมปังเล็กน้อยเท่านั้น (เปรียบเปรยการทำ yield farming บน DeFi ที่มีรายได้อันน้อยนิดเนื่องจากต้องจ่ายค่าธรรมเนียมมาก)”
สาเหตุหลักที่ทำให้ค่าธรรมเนียมพุ่งสูงขึ้นนั้นเป็นเพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่เครือข่ายมีผู้ใช้งานที่สูงมากส่งผลทำให้หลายๆคนต้องการที่จะให้ธุรกรรมของเขาไปถึงที่มาอย่างรวดเร็วและการจ่ายค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นก็ทำให้มันเป็นเช่นนั้น และยิ่งมีคนที่ทำแบบนั้นมากก็ยิ่งส่งผลทำให้อัตราค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ยพุ่งสูงขึ้นตาม
ปัจจุบันเครือข่ายบล็อกเชนของ Ethereum สามารถที่จะประมวลผลธุรกรรมได้ประมาณ 24 ธุรกรรมต่อวินาทีเท่านั้น โดยธุรกรรมที่ถูกประมวลผลจาก mempool จะถูกเลือกโดยนักขุด และนักขุดจะเลือกประมวลผลธุรกรรมเหล่านั้นตามค่าธรรมเนียมที่จ่าย กล่าวคือยิ่งจ่ายค่าธรรมเนียมเยอะธุรกรรมก็ยิ่งไปถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามโมเดล proof of work ดังกล่าวนั้นกำลังที่จะถูกเปลี่ยนไปเป็นโมเดลใหม่ที่เรียกว่า proof or stake โดยนักขุดนั้นจะไม่สามารถพูดได้อีกต่อไปแต่จะเกิดการประมวลผลธุรกรรมแบบใหม่ที่เรียกว่าการ staking แทน โดยจุดประสงค์หลักๆของทางกลุ่มนักพัฒนานั้นก็เพื่อแก้ไขปัญหาการติดขัดในเครือข่ายดังกล่าวนี้
นอกจากนี้พวกเขายังเตรียมสร้างระบบที่เรียกว่าการทำ sharing ที่เคยว่าจะสามารถช่วยประมวลผลธุรกรรมต่อวินาทีได้มากกว่านี้อีกมาก
ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไป