นาย Paolo Ardoino หรือ CTO ของบริษัท Tether ได้ออกมากล่าวตอบโต้นักพัฒนาเทคโนโลยีของ bitcoin เกี่ยวกับแหล่งที่มาของสินทรัพย์ที่ถูกนำมาค้ำประกันเหรียญ USDT โดยเขาเผยว่าทางบริษัทได้ทำการเสกเหรียญออกมานับแสนเหรียญเป็นประจำ
อย่างไรก็ตามมีผู้ใช้งานบางคนได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับคำตอบของเขาและยังคงไม่ค่อยอยากจะปักใจเชื่อเท่าไหร่นัก
Tether ได้รับเงินโอนเพื่อเสกเหรียญ USDT
ศักดิ์พัฒนาเทคโนโลยี Lightning Network นามว่า Rene Pickhardt ได้ออกมาตั้งคำถามเกี่ยวกับการเสกเหรียญ USDT ว่ามีเงินดอลลาร์มาค้ำประกันแบบหนึ่งต่อหนึ่งไว้ตามที่อ้างจริงหรือไม่
โดยการโพสคำถามของเขานั้นได้มีการตั้งคำถามเชิงพิกัดบนทวิตเตอร์ พร้อมเผยว่าหากทาง Tether ควบคุมกุญแจที่ถูกเอาไว้ใช้เสกเหรียญ USDT พวกเขาก็อาจจะเสกเหรียญดังกล่าวออกมาอีก 26 ล้านเหรียญเพื่อให้เทียบเท่ากับจำนวน balance sheet ของธนาคารกลางสหรัฐ
อย่างไรก็ตามนายเปาโลได้ออกมากล่าวตอบโต้ว่าทางบริษัท Tether มักจะได้รับเงินโอนจากลูกค้าของพวกเขาเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยจุดประสงค์ของการโอนเหล่านั้นก็เพื่อให้ทาง Tether เสกเหรียญ USDT ออกมาเพิ่ม นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าลูกค้าของเขาเป็นกลุ่มนักลงทุนเจ้าใหญ่และรวมถึงกลุ่มผู้ถือเหรียญคริปโตอีกด้วย
เว็บไซต์หลักของ Tether ได้เปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถส่งเงินสดไปหาพวกเขาและก็จะได้รับเหรียญ USDT มาเป็นการตอบแทน โดยเหรียญดังกล่าวจะมีทั้งเงินดอลลาร์, ยูโรและเงินหยวน โดยพวกเขาสามารถออกเหรียญดังกล่าวบนแพลตฟอร์มหลายๆแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์ม Omni, Ethereum, Tron และอื่นๆอีกมากมาย
กลุ่มชุมชนยังคงตั้งคำถาม
อย่างไรก็ตามชุมชนผู้ใช้งานเวรคริปโตเคอเรนซี่ก็ยังคงมีความสงสัยและเคลือบแคลงใจในตัวของ Tether เกี่ยวกับการออกเหรียญ USDT ว่ามีเงินดอลลาร์มาค้ำประกันไว้ตรงกับที่พวกเขากล่าวอ้างหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีผู้คนอีกเป็นจำนวนมากที่เปรียบเทียบ Tether ว่าเป็นเหมือนกับธนาคารกลางสหรัฐเนื่องจากพวกเขาทั้งสองสามารถเสกเงินออกมาจากกลางอากาศได้
อย่างไรก็ตามความแตกต่างระหว่าง 2 หน่วยงานนี้ก็คือ Tether มักจะทำเป็นประจำอยู่แล้วในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐเพิ่งจะเริ่มเสกเงินออกมาเพื่อทำการอัดฉีดเศรษฐกิจเมื่อไม่นานมานี้
แม้ว่าในเปาโลจะออกมาตอบคำถามของพวกเขาแต่ดูเหมือนว่าผู้ใช้งานก็ยังไม่ปักใจเชื่อเสีย 100%
ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมของเหรียญ USDT ได้พุ่งขึ้นทะลุ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ไปแล้ว และดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ