นาย Chris Larsen ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหารของบริษัทผู้สร้างเหรียญคริปโตอันดับ 3 ของโลก Ripple ได้ออกมาแสดงความเห็นของเขาเมื่อคืนนี้ผ่านสื่อที่ชื่อว่า The Hill โดยผู้อ่านนิตยสารดังกล่าวนั้นเต็มไปด้วยรัฐบาลและผู้ออกกฎหมายในประเทศสหรัฐ โดยหัวข้อดังกล่าวนั้นถูกใช้ชื่อว่า “สงครามเย็นแห่งเทคโนโลยีได้มาถึงแล้ว และสหรัฐจะไม่ชนะ”
โดยเนื้อหาของบทความดังกล่าวที่เขาเขียนขึ้นมานั้นมีการกล่าวถึงการโฟกัสไปที่เทคโนโลยี 5g และ AI นอกจากนี้ทางประเทศสหรัฐนั้นก็ไม่ควรที่จะประมาทกับการพัฒนาขึ้นมาของจีนในด้านสกุลเงินดิจิตอลและเทคโนโลยีบล็อกเชนอีกด้วย โดยนาย Larsen ได้กล่าวว่ารัฐบาลจีนกำลังให้การสนับสนุนทางด้านพลังงานต่อนักขุดเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ นอกจากนี้เขายังอ้างว่าปัจจุบันจีนเป็นผู้ควบคุมกำลังคนในเครือข่าย bitcoin อย่างน้อยประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนั่นหมายความว่ารัฐบาลจีนมีพลังที่จะควบคุมโปรโตคอลในการบล็อกธุรกรรมในเครือข่ายของ bitcoin ได้
นอกจากนี้นาย Larsen ยังได้มีการกล่าวถึงบทความและอ้างอิงแหล่งที่มาที่บอกว่าจีนนั้นมีพลังขุดในเครือข่าย bitcoin ที่มากกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่ารายงานดังกล่าวจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์นั้นจะได้กล่าวไว้ว่าตัวเลขของแรงขุดของจีนดังกล่าวนั้นอาจจะไม่ได้มีความแม่นยำแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ผู้ให้ข้อมูลแก่มหาวิทยาลัยดังกล่าวยังมีเพียงแค่ pool ขุด bitcoin ทั้งหมดเพียงแค่ 3 แห่งเท่านั้น โดยทางมหาวิทยาลัยเผยว่าพวกเขามีแผนการที่จะรวบรวมข้อมูลจากหลายๆแห่งเพื่อให้ข้อมูลมีความแม่นยำมากขึ้นอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตามนาย Larsen ก็ได้นำเอาข้อมูลดังกล่าวนั้นมาเขียนบทความของเขาและบอกกับรัฐบาลสหรัฐว่าพวกเขานั้นกำลังตกอยู่ในอันตรายหากจีนสามารถควบคุมโปรโตคอลของ bitcoin ได้ทั้งหมด “มันไม่ยากเลยที่จะจินตนาการอนาคตของโลกที่ระบบการจ่ายเงินของสหรัฐนั้นถูกบล็อกหรือย้อนกลับด้วยฝีมือของจีน” กล่าวโดยนาย Larsen
นอกจากนี้เขายังโต้เถียงอีกด้วยว่าผู้ออกกฎหมายในสหรัฐควรที่จะเคลื่อนย้ายไปอาศัยอยู่ที่ซิลิคอนวัลเลย์ เนื่องจากว่าย่านดังกล่าวนั้นถือเป็นย่านเทคโนโลยีที่ทางผู้ออกกฎหมายควรเข้าไปขลุกตัวอยู่จะได้รับรู้ถึงการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศสหรัฐว่าควรจะเป็นไปในทิศทางใด
ท้ายสุดนี้นาย Larsen ชี้ว่าสงครามเย็นแห่งเทคโนโลยีที่จีนกำลังแข่งขันอยู่กับสหรัฐนั้น รัฐบาลควรที่จะมีความจริงจังกับมันได้แล้ว และหันมาทุ่มเทให้กับการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนด้วยบริษัทของคนอเมริกัน แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ามุมมองของเขานั้นถูกค้ำไว้ด้วยงานวิเคราะห์ที่ค่อนข้างจะมีความกว้าง ดังนั้นผู้อ่านจึงควรที่จะใช้วิจารณญาณให้ดี
ที่มา Forbes