<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ธนาคารด้านคริปโตจะสามารถเอาชนะธนาคารแบบเก่าได้ในอีก 3 ปีหรืออาจน้อยกว่านั้น

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในอนาคตอีก 3 ปีข้างหน้า เป็นไปได้ว่านักลงทุนรุ่นใหม่อาจจะไม่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธนาคารแบบดั้งเดิมอีกต่อไปแล้ว เว้นแต่พวกเขาจะมีบริการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเพิ่มเข้ามา

คุณอาจทราบดีว่า Kraken เป็นเว็ปเทรดที่กำลังจะเปลี่ยนมาเป็นธนาคารคริปโตแห่งแรกของโลก ซึ่งนั่นหมายความว่า Kraken จะสามารถเสนอทางเลือกในการธนาคารและการระดมทุนให้กับลูกค้าปัจจุบันได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้มันยังหมายความว่า Kraken Financial จะสามารถดำเนินการในหลากหลายเขตอำนาจศาลได้มากขึ้นอีกด้วย

Kraken กำลังทำงานร่วมกับ Silvergate Bank เพื่อนำเสนอทางเลือกในการระดมทุน SWIFT และ FedWire ให้กับลูกค้าในสหรัฐอเมริกา ความร่วมมือประเภทนี้กำลังกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ และ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนนี้มันจึงถึงเวลาแล้วที่ธนาคารแบบดั้งเดิมควรเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับคริปโต

Silvergate Bank นั้นมีลูกค้าเป็นบริษัทสินทรัพย์ดิจิทัลถึง 880 แห่ง และลูกค้าเหล่านั้นยังมีการฝากเงินไว้กับธนาคารเป็นมูลค่ามากกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์อีกด้วย แต่ทว่านั้นยังคงเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของธนาคารแบบดั้งเดิม

ในไม่ช้าผู้บริโภคจะเปลี่ยนมาใช้ธนาคารแบบ “Full service” ที่ให้บริการทางการเงินทั้งในรูปแบบของคริปโตและเงินสด ดังนั้นหากในอนาคตธนาคารแบบดั้งเดิมไม่มีการเพิ่มเครื่องมือด้านคริปโตเข้ามา สุดท้ายแล้งพวกเขาอาจต้องถูกทิ้งให้อยู่เบื้องหลัง

แต่เครื่องมือที่ว่านั้นคืออะไรกันล่ะ ? ในบทความเราจะมาหาคำตอบกันว่าเครื่องมือด้านคริปโตอะไรบ้างที่ภาคธนาคารแบบดั้งเดิมควรมีการเพิ่มเข้ามาในอนาคต

เครื่องมือทางนิติวิทยาศาสตร์ของ Blockchain

สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าเครื่องมือทางนิติวิทยาศาสตร์ก็คืออะไร เครื่องมือทางนิติวิทยาศาสตร์ก็คือ “การนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทุกสาขามาประยุกต์ใช้ เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดีความเพื่อผลในการบังคับใช้กฎหมายและการลงโทษผู้กระทำผิด” ซึ่งในกรณีของ Bitcoin และ Blockchain นั้น มันเป็นธุรกรรมทางการเงินความที่มีความโปร่งใสมากกว่า หากเทียบกันกับตรวจสอบธุรกรรมทั่วไปในธนาคารแบบดั้งเดิม มันสามารถเปิดเผยที่มาของธุรกรรมได้  แต่พวกเขาจำเป็นต้องใช้เครื่องมืออย่างเช่น Blockchain Explorer และเครื่องมือการให้คะแนนความเสี่ยง (risk scoring tools) ที่ลงลึกในรายละเอียดได้มากกว่าการใช้บริการสาธารณะในปัจจุบัน

เครื่องมือทางนิติวิทยาศาสตร์เหล่านี้จะช่วยให้ผู้ตรวจสอบสามารถติดตามธุรกรรมดิจิทัลทั้งที่อยู่กระเป๋าเงิน , ธุรกรรมบล็อกเชนและหน่วยงานดิจิทัลอื่น ๆ โดยใช้เทคนิคเช่นการทำคลัสเตอร์และการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งาน โดยในขณะนี้บริษัทต่าง ๆ กำลังพัฒนาอัลกอริธึมการค้นหาที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตน ซึ่งออกแบบมาเพื่อตรวจจับที่มาของเงินและเปิดโปงเหล่าอาชญากร

DeFi ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงสำหรับผู้บริโภค

หากพูดถึงเรื่อง Defi กับภาคธนาคาร คนส่วนใหญ่คงคิดว่ามันหมายถึงการทำฟาร์ม Yield farming ที่ให้ผลตอบแทนสูง แต่จริง ๆ แล้ว Defi มีความหมายมากกว่านั้นมาก

DeFi จะช่วยให้คุณได้รับคำแนะนำการเทรดทางเทคนิคจากนักเทรดรายอื่น ๆ และเรียกร้องค่าธรรมเนียมจากคุณ เมื่อคุณมีกำไรแล้วเท่านั้น คุณสามารถเทเงินทุนลงไปในพอร์ตการลงทุนคริปโตของคุณโดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมกองทุนรวมแต่อย่างใด นอกจากนี้นักลงทุนยังสามารถถืออนุพันธ์คริปโตที่ต้องการได้โดยไม่ต้องสลับไปมาระหว่างบล็อคเชนได้อีกด้วย นวัตกรรมเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น ซึ่งในอนาคตเราอาจได้เห็นโปรเจค Defi เปิดตัวเยอะมากขึ้นเรื่อย ๆ และช่วยมอบอรรถประโยชน์ในแบบที่เราคาดไม่ถึง

อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าผู้คนส่วนใหญ่ยังคงต้องการติดต่อกับธนาคารแบบดั้งเดิมของพวกเขาเป็นครั้งเป็นคราว แม้ว่าพวกเขาจะถือครองความมั่งคั่งส่วนใหญ่ไว้ในรูปแบบของสกุลเงินดิจิทัลก็ตาม นอกจากนี้รัฐบาลทั่วโลกก็กำลังดำเนินการเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่งหากสิ่งนี้เปิดตัวผู้บริโภคจะต้องการเข้าถึงสกุลเงินดิจิทัลผ่านธนาคารของพวกเขาอย่างแน่นอน

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าธนาคารไม่เอาด้วย ?

ในอีก 18 เดือนข้างหน้า ธนาคารใดก็ตามที่ยังคงไม่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับคริปโตเคอเรนซี่ พวกเขามีความเสี่ยงที่อาจต้องถูกทิ้งให้กลายเป็นเบื้องหลัง ด้วยน้ำมือของ Kraken และธนาคารคริปโตแห่งอื่น ๆ 

ถึงเวลาแล้วที่ธนาคารแบบดั้งเดิมจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการขยายขีดความสามารถให้กับผู้ใช้งาน ด้วยการเข้าถึงคริปโตให้มากขึ้น เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นพวกเขาจะถูกกวาดล้างไปตามกระแสสกุลเงินดิจิทัลที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ  และถูกทิ้งให้อยู่ในอดีตไปตลอดกาล