Mike Novogratz นักลงทุนมหาเศรษฐีและอดีตผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ที่ปกติแล้วมักจะออกมากล่าวปกป้อง bitcoin เสมอเมื่อมีคนมาโจมตีมันเยอะ แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดเหรียญ BTC นี้ไม่เหมาะที่จะถูกนำมาเพื่อใช้จ่ายแทนเงินสดได้
Bitcoin จะไม่ถูกนำไปใช้เพื่อเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน
นาย Mike Novogratz กล่าวว่า Bitcoin จะไม่ถูกนำไปใช้เพื่อเป็นตัวกลางในการชำระเงิน เนื่องจากเครือข่ายไม่สามารถรองรับธุรกรรมนับพันรายการได้ โดยเขาได้ให้สัมภาษณ์ในพอดคาสต์ Exchanges ที่ Goldman Sachs ว่า bitcoin นั้นเหมาะที่จะเป็นตัวเก็บมูลค่าและเป็นประเภทสินทรัพย์ชนิดหนึ่ง แต่ไม่เหมาะสำหรับใช้เพื่อชำระเงิน
“Bitcoin จะเหมาะสำหรับนำไปใช้เพื่อชำระเงิน ระบบไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับการชำระเงินจริงๆ มันไม่เร็วพอสำหรับธุรกรรมนับพัน” เขากล่าว
เนื่องจาก bitcoin และเหรียญ cryptocurrency อื่น ๆ จำนวนมากได้ถูกออกแบบมาเพื่อแทนที่บัตรเครดิตและสกุลเงิน fiat นี่น่าจะเป็นความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญสำหรับ bitcoin ในด้านนี้ และเมื่อพิจารณาจากจำนวนร้านค้าและบริษัทต่างๆ ที่กลัวความผันผวนของเหรียญดังกล่าวแล้ว แนวคิดที่ว่า bitcoin จะถูกนำไปใช้ในอนาคตไม่เพียงแต่เป็นสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไรเท่านั้น แต่เรายังได้เห็นการนำมันไปใช้เพื่อชำระสินค้าที่น้อยลงอีกด้วย
เมื่อมีบางสิ่งที่ผันผวนอย่าง bitcoin เข้าสู่ตลาด เจ้าของร้านมีแนวโน้มที่จะเลิกคิ้วมากกว่าที่จะยิ้ม บริษัทต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน เนื่องจากพวกเขาเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินหากพวกเขาไม่แปลงเป็นเงินสดให้เร็วพอ
หากลองย้อนกลับไปดูใน whitepaper ที่ถูกตีพิมพ์ในปี 2008 โดย Satoshi Nakamoto หรือผู้สร้างปริศนาของ bitcoin เขาได้อธิบายว่า bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลแบบไร้เงินสดแบบเพียร์ทูเพียร์ อย่างไรก็ตาม นักลงทุน crypto เช่น Novogratz เชื่อว่าสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ จะเข้ามามีบทบาทในการชำระเงินในอนาคต และ bitcoin นั้นจะมีความคล้ายคลึงกับทองคำดิจิทัลมากขึ้น
เขามองว่า Bitcoin เป็นเครื่องเก็บมูลค่า
การโต้เถียงในด้านการลงทุน bitcoin ในมุมมองของนาย Novogratz นั้นคือมันเป็นสินทรัพย์ที่มีถูกแจกจ่ายออกไปให้ผู้คนมากที่สุดในโลกของคริปโตและเป็นตัวเก็บมูลค่าที่ดี
ในอนาคต เขาเชื่อว่า bitcoin จะทำหน้าที่เป็นสินทรพย์สำหรับกระจายความเสี่ยงขั้นสูงสุด และหลายคนจะหันไปหามันเพื่อซื้อมาเก็บรักษาไว้ใยนพอร์ตโฟลิโอและเพื่อเพิ่มความมั่งคั่ง และเพื่อรับการปกป้องในกรณีที่เกิดความวุ่นวายทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกับปีที่แล้วในช่วงการระบาดของไวรัสโคโรนาเขาตั้งข้อสังเกตว่า
“สิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับตัวเก็บมูลค่รนั้นก็คือมันสร้างสังคมขึ้นมา” เขากล่าวเสริม “มันมีค่าเพราะเราบอกว่ามันมีค่า มันไม่เคยมีแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมากขนาดนี้มาก่อนในรอบ 12 ปีโดยชุมชน มันเหมือนกับว่าพวกเขาเอาเด็กทารกลอยไปตามแม่น้ำ และชุมชนนั้นได้ก็ได้เก็บเด็กทารกนั้นไปเลี้ยงดูและตอนนี้มันมีมูลค่าราว 1 ล้านล้านดอลลาร์”
นาย Novogratz มองเศรษฐกิจมหภาคในตอนนี้ว่าเหมือนกับการ “ปรับแต่งขึ้นมาเอง” รัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะเสกเงินขึ้นมาเรื่อย ๆ เนื่องจากชาวอเมริกันจำนวนมากขึ้นชื่นชอบรายได้พื้นฐานสากลที่มาในหลากหลายรูปแบบเช่น ค่าเล่าเรียนของวิทยาลัยฟรี ในขณะที่การขาดดุลของประเทศอื่นๆ ก็มีแนวโน้มที่จะขยายตัวเช่นกัน
“กรมธนารักษ์และรัฐบาลกำลังจัดหาเงินทุนทุกอย่างที่เราต้องการใช้จ่าย และสิ่งนั้นกำลังเกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ก่อนหน้านี้เรามีการขาดดุลที่ไม่ดีก่อนเกิดโควิด ตอนนี้เรามีการขาดดุลที่สูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ตราบใดที่ฉากหลังของมหภาค ฉากหลังทางการเมืองที่กำลังแย่ และตลาดกำลังถูกกำหนดขึ้นมาแบบปลอม ๆ คุณคงรู้สึกเป็นประสาท และอยากออกไปจากที่นี่” เขากล่าว