ในที่สุด Bitcoin นั้นก็ได้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในประวัติศาสตร์อีกขั้นหนึ่งกับ Taproot ซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญพอๆ กับ SegWit หรือการ Halving ครั้งสุดท้ายเลยก็ว่าได้
Taproot นั้นถือเป็นตัวอัปเดต Bitcoin ที่ “มีความทะเยอทะยาน” ที่สุดหากนับตั้งแต่ปี 2017 มา โดยมันได้รับการส่งสัญญาณยอมรับจากนักขุดในที่สุด และถูกล็อกไว้สำหรับการดำเนินการติดตั้งใช้งานในเดือนพฤศจิกายนปีนี้
Taproot กำลังจะมา?
เนื่องด้วยการที่เครือข่ายของ Bitcoin นั้นมีความเป็น decentralized สูงมาก ทำให้มันต้องผ่านกระบวนการอนุมัติจากนักขุดก่อน ซึ่งมันไม่สามารถถูกเผยแพร่สู่สาธารณชนได้ด้วยการตัดสินใจของนักพัฒนาเพียงไม่กี่คน
ในกรณีของ Taproot นักขุดจะต้องมีฉันทามติร่วมกันด้วยการส่งสัญญาณว่าพวกเขาพร้อมที่จะสนับสนุนมัน โดยมันจำเป็นที่จะต้องมีนักขุดที่ส่งสัญญาณถึง 90% ของบล็อกที่ขุดได้ในช่วง difficulty หนึ่งๆ และวันนี้มันก็บรรลุเป้าหมายแล้ว
ช่วง diffulty ก็คือช่วงระยะเวลาในการปรับค่าความยากในเครือข่ายสองครั้ง จากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง โดยเครือข่าย Bitcoin นั้นทำงานโดยการที่มีนักขุดเข้ามาช่วยประมวลผลธุรกรรมในเครือข่ายผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ที่พวกเขาเอามาใช้คำนวณ และแรงประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดในเครือข่ายนั้นจะถูกทำให้สมดุลด้วยค่า difficulty ที่จะคอยเป็นตัวกำหนดให้มี Bitcoin เกิดใหม่ในทุก ๆ 10 นาที
อย่างไรก็ตาม บางครั้งมีนักขุดจำนวนมากขึ้นเข้าสู่เครือข่าย (และนำมาซึ่งแรงประมวลผลที่มากขึ้น สิ่งนี้จะส่งผลทำให้บล็อกใหม่จะถูกขุดเร็วขึ้นเล็กน้อย) หรือบางคนปิดเครื่อง (ส่งผลทำให้แรงประมวลผลลดลง และทำให้เครือข่ายมีความแออัดมากขึ้น)
เมื่อมีแรงประมวลผลในเครือข่ายมากเกินไปจน Bitcoin เกิดเร็วกว่า 10 นาที เครือข่ายจะทำการเพิ่มความยากโดยอัตโนมัติ (และในทางกลับกัน ลดมันลงในกรณีที่นักขุดแห่กันถอดปลั๊ก) ซึ่งการปรับค่าความยากนั้นมักจะเกิดขึ้นในทุก ๆ 2016 บล็อก และมักจะถูกขุดภายใน 2 สัปดาห์
กระบวนการลงคะแนนเพื่อเปิดใช้งาน Taproot เกิดขึ้นในช่วง 2016 บล็อกที่ผ่านมา และเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Speedy Trial
หากนักขุดไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในระหว่างการทดลองใช้ Speedy Trial ขั้นตอนต่อไปก็คือ UASF (User Activated Soft-Fork) กระบวนการนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้โหนดในเครือข่ายขัดแย้งกันเอง
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าความพยายามในการเปิดใช้งานครั้งแรกไม่สำเร็จ จึงส่งผลทำให้กระบวนการส่งสัญญาณถูกเลื่อนออกไปเป็นช่วงการปรับค่าความยากครั้งถัดไป (ที่เราอยู่ในขณะนี้)
ทำไมมันจึงสำคัญ?
Taproot เป็น bitcoin soft fork ที่จะทำให้การส่ง Bitcoin หากันนั้นมีความปลอดภัย, เป็นส่วนตัวมากขึ้น และกินเนื้อที่น้อยลง สิ่งหลังมีความสำคัญเป็นพิเศษต่อเครือข่ายเนื่องจากมันช่วยแบ่งเบาภาระของการทำธุรกรรมต่อบล็อก และทำให้ bitcoin สามารถปรับขนาดได้มากขึ้นเล็กน้อย ส่งผลทำให้ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมลดลงได้เล็กน้อย
Taproot มาพร้อมกับ Schnorr signatures ซึ่งเป็นวิธีการเซ็นชื่อที่เป็นทางเลือกแทนลายเซ็น ECDSA ปัจจุบัน หลังจากเปิดใช้งาน signatures เหล่านี้แล้ว จะทำให้ระบบสามารถสร้างชนิดของมาสเตอร์คีย์เพื่อลงนามในการทำธุรกรรมต่างๆ ได้ จริง ๆ แล้วมาสเตอร์คีย์จะเป็นการรวมลายเซ็นหลาย ๆ อันเข้าด้วยกันซึ่งอาจช่วยประหยัดพื้นที่ได้
ผู้ที่ชื่นชอบ BTC หลายคนกำลังรอคอยการมาของ Taproot ไม่เพียงเพราะมันสามารถปรับปรุงคุณสมบัติของบล็อคเชน Bitcoin ได้ แต่ยังเพราะถือได้ว่าเป็นสัญญาณที่ดีในหมู่นักลงทุนอีกด้วย
แต่คนอื่นก็ยังมีข้อกังขา หนึ่งในนั้นก็คือนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ที่แย้งว่า Taproot อาจเป็นอันตรายได้หากได้รับการอนุมัติ
ตอนนี้มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาที่จะพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นฝ่ายถูก