<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ถอดรหัสนักเทรดตัวเก๋าที่ผันตัวมาเป็นผู้ก่อตั้ง Bitkub มือใหม่คริปโตไม่ควรพลาด

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในขณะนี้ cryptocurrency กลายเป็นที่รู้จักไปอย่างกว้างขวางจากการที่ Bitcoin ทำระดับราคาสูงสุด 1 ล้านบาทเมื่อต้นปี 2021 และทะลุ 2 ล้านบาทในเดือนเมษายนปีเดียวกัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคริปโทเคอร์เรนซี่ก็ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนรวมถึงสถาบันทางการเงินหลายแห่งมากยิ่งขึ้น

อีกทั้งเนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ภายในประเทศที่ทำให้ประเทศไทยเกิดอัตราว่างงานมากขึ้นกว่าทุกปี และนี่เองเป็นสาเหตุให้ใครหลาย ๆ คนต่างนำเงินเก็บมาลงซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลและกลายเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ในปีนี้

ปัญหาก็คือ ในระยะเวลาหลังจากที่ Bitcoin ทำราคาสูงสุดในประวัติศาสตร์เพียง 1 เดือนนั้น ก็ได้เกิดสภาวะตลาดล่มที่ทำให้คริปโทเคอร์เรนซี่มากมายมีการปรับฐานกันครั้งใหญ่ โดย Bitcoin เองก็ได้ปรับฐานลงกว่า 50% ในช่วงที่ตลาดล่มเมื่อเดือนพฤษภาคม

วันนี้เราได้สนทนากับคุณต้น สกลกรย์ สระกวี ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Bitkub และเป็นอดีต CEO ของ Garena Thailand ซึ่งเป็นนักเทรด crypto ที่โด่งดังในประเทศไทย จะเข้ามาแนะนำนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลังตกอยู่ในสภาวะแพนิคหรือขาดทุนจากการถือเหรียญ รวมถึงจะบอกเล่าถึงความเป็นไปได้ของคริปโทเคอร์เรนซี่ในอนาคตอีกด้วย

ก้าวแรกของมือใหม่ควรก้าวยังไง?

นับแต่วันแรกที่หลายคนได้ก้าวมาเป็นนักเทรดมือใหม่ในตลาดสกุลเงินดิจิทัล หลายคนอาจประสบความสำเร็จทางด้านการทำกำไรได้อย่างมหาศาล แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ต้องนับวันเฝ้ารอให้ราคาเหรียญเพิ่มขึ้นไปอยู่จุดที่ตนเองเคยซื้อมาหรือเรียกว่า “ติดดอย” 

เหมือนที่เรารู้กันว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่สามารถทำให้เงินของเราเติบโตได้ คนก็มักที่จะเข้ามาลงทุนในสิ่งนั้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราสามารถลงทุนในสิ่งนั้นได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องศึกษาอะไรให้มากมายก็ตาม

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องซะทีเดียวหากคุณเข้ามาในตลาดนี้เพียงเพราะเห็นเพื่อน ๆ สามารถทำกำไรได้ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงที่เหรียญราคาขึ้น บางทีคุณอาจจะโชคดีที่ซื้อได้ในราคาที่แพงและขายในราคาที่แพงกว่า แต่บางครั้งอาจจะซื้อแล้วก็ติดดอยเลยก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหรียญที่ราคาขึ้นแบบผิดปกติ ดังนั้นเราควรจะมองเหรียญที่มีคุณภาพหรือเหรียญที่ราคาไม่ได้ขึ้นเยอะแต่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญซึ่งมีความมั่นคงมากกว่า”

“เพราะฉะนั้นเราต้องศึกษาก่อนว่าเหตุของการที่เหรียญ ๆ นึงจะขึ้นนั้นเกิดจากอะไร ตัวอย่างเช่น ADA ที่หลายคนเชื่อว่าจะมีคนเข้ามาใช้เยอะขึ้นจากการอัปเกรด Alonzo Hardfork และมี smart contact เหมือนกับ Ethereum นั่นทำให้คนส่วนมากคาดหวังอนาคตและซื้อเหรียญเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมราคาเหรียญถึงเพิ่มขึ้น”

“หากคุณเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ พี่แนะนำว่าไม่ควรที่จะซื้อเหรียญตามกระแสเพียงอย่างเดียวแต่การศึกษาสินทรัพย์ดิจิทัลให้มาก เช่น เหรียญที่มีมูลค่ารวมในตลาดเป็นอันดับ 1 อย่าง Bitcoin ที่มีเพียง 21 ล้านเหรียญ และหลายคนเชื่อมั่นว่า Bitcoin จะเข้ามาเป็นสกุลเงินดิจิทัลในอนาคต รวมถึงตอนนี้ได้มีกองทุน ETF และกองทุนต่าง ๆ ที่สนับสนุนสกุลเงินดิจิทัลแล้วในต่างประเทศ เพราะฉะนั้นพี่จะแนะนำเสมอว่าถ้าไม่รู้จะซื้อเหรียญอะไรแนะนำให้ซื้อเป็น Bitcoin หรือแนะนำให้ดูเหรียญ 10 อันดับแรกใน CoinMaketCap”

รับมือจากการขาดทุนอย่างไร?

ความกังวลใจจากการขาดทุนเป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนมือใหม่หลายคนนอนไม่หลับและแพนิคตลอดเวลา ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและการตัดสินใจ แต่เราจะลบความกังวลใจนี้ไปและก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างไร?

“มีขึ้นก็ย่อมมีลงมันเป็นไปตามกลไกทางการตลาด นั่นเป็นวิธีคิดของพี่ซึ่งทำให้พี่ไม่ค่อยตกใจนักเวลาที่่ตลาดปรับราคาลง อีกทั้งพี่เองยังเป็นคนที่ลงทุนในระยะยาวและซื้อตัวที่มีอนาคตอยู่เสมอ”

“หลายคนที่ซื้อแล้วกลัวหรือแพนิค นั่นอาจจะเป็นเพราะคุณกู้เงินเข้ามาซื้อหรือว่าซื้อไว้ในฟิวเจอร์เพราะเชื่อว่ามันจะขึ้นแต่จริง ๆ แล้วกลับราคาตกลงซึ่งทำให้เงินที่คุณกู้มาหายไป รวมถึงบางคนอาจจะยอมขาดทุนเพื่อคืนเงินที่กู้มา เพราะฉะนั้นพี่แนะนำให้นำเงินเย็นมาลงทุนในระยะยาวดีกว่า”

มือใหม่ vs FOMO ปรับตัวยังไง?

อารมณ์ FOMO ไม่เพียงเป็นแต่มือใหม่เท่านั้น แต่นักลงทุนที่ผ่านการลงทุนในตลาดคริปโตมากกว่า 2-3 ปีก็ยังคงเป็นอยู่ แน่นอนว่ามันเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทุกคนจากปัจจัยหลายอย่างในแต่ละบุคคล ซึ่งในครั้งนี้เราก็ได้สัมภาษณ์แนวทางในการปรับอารมณ์ดังกล่าวด้วย

“พี่เองเคยเกิดอารมณ์นี้ในช่วงปี 2013 หรือ 8 ปีที่แล้ว ตอนนั้นพี่กลัวมากเพราะคริปโทเคอร์เรนซี่มันเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง ในตอนนั้นพี่ตั้งเตือนราคาร่วงตั้งนู่นนี่จนทำให้เรารู้สึกเครียดไปกับมันเพราะเราไปซื้อในราคาที่ไม่รู้ว่าจะขึ้นหรือลง และในตอนนั้นพี่แทบจะไม่มีหลักการอะไรเลยมันทำให้เราสุขภาพไม่ดี เพราะฉะนั้นแนวคิดที่พี่ปรับใช้ในช่วงหลัง ๆ คือการนำเงินที่เราคิดว่าเนี่ยแหละเป็นเงินอนาคตลงทุนกับมันในระยะยาว แต่หากคุณจะเล่นในระยะสั้น ๆ คุณจำเป็นต้องมีเทคนิคที่ดีเพียงพอ ที่สำคัญคือคุณจะต้องไม่กู้เงินมาเพื่อลงทุนเด็ดขาด”

“หากคุณเป็นมือใหม่และเข้ามาถือครองเหรียญใดเหรียญนึงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณไม่ต้องกังวลจนแทบไม่ได้นอนไปกับแก๊งตี 3 โดยกลัวว่าจะทำให้ราคาตกจนติดดอย การทำแบบนั้นจะทำให้คุณเสียสุขภาพเปล่า ๆ ซึ่งหากคุณมีสุขภาพที่แย่การตัดสินใจของคุณก็จะแย่ไปด้วย และนั่นก็จะทำให้คุณแพนิคอยู่เสมอ”

สถานการณ์ระดับโลกส่งผลกระทบต่อการลงทุนในคริปโต

ก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นทั่วโลกถูกพยุงให้รอดในสถานการณ์โควิด-19 ด้วยตลาดหุ้นอเมริกา แม้ว่าโรคระบาดจะทำให้การลงทุนต่าง ๆ สั่นคลอนจนเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดกว่าวิกฤติครั้งไหน 

“พี่ว่าเป็นผลกระทบในทางที่ดีนะ” พี่ต้นเริ่มบทสนทนาหลังจากที่ผมสิ้นสุดประโยค แม้ว่าก่อนหน้านี้ผมจะเกริ่นว่าโควิดส่งผลด้านลบต่อการลงทุนก็ตาม

“จริง ๆ ช่วงนี้หลายคนเข้ามาลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี่เพราะสถานการณ์โควิด-19 เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีมากกว่า”

“อีกอย่างอย่างที่เราบอกมาว่าตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี ตลาดหุ้นแย่และผลประกอบการบริษัทก็แย่ อีกทั้งรัฐบาลพิมพ์ธนบัตรออกมาเรื่อย ๆ ได้เพื่ออัดฉีดให้กับเศรษฐกิจให้คล่องตัว แต่การลงทุนในคริปโตนั้นเป็นการลงทุนแบบ global อย่างเช่น Bitcoin ที่มีจำนวนเหรียญเท่าเดิม 21 ล้านเหรียญและมีคนเข้ามาลงทุนมากที่สุด ทำให้คนต่างนำเงินเข้ามาลงทุนในคริปโตมากขึ้นจนราคาปรับฐานมาถึงระดับนี้”

แน่นอนว่าระหว่างสนทนานั้นดูเหมือนการลงทุนในคริปโตนั้นจะสวยหรูและหอมหวานกว่าที่คิด แต่เรื่องราวนี้ยังไม่ได้จบเพียงเท่านั้น

“แต่พี่เองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะกลับไปเหมือนช่วงปี 2013-2014 หรือปี 2017-2018 ไหม? เพราะหลายปัจจัยไม่เหมือนเดิม เงินหมุนเวียนในระบบมีมากขึ้น มีเงินบาทมากขึ้นและมีการออกโทนเคน USDT มามากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่อย่างไรก็ตามถ้าสมมุติว่าเกิดเหตุการณ์ Bitcoin โดนแฮค หรือมีนักลงทุนรายใหญ่ต้องการทำกำไร ก็อาจจะทำให้ราคากลับมาร่วงอีกครั้งอย่างที่พี่เคยบอกว่ามีขึ้นก็ต้องมีลง”

GameFi และ NFT จะมาเป็นกระแสในอนาคต

โชคดีว่าในอดีตพี่ต้นได้เข้ามามีส่วนร่วมในวงการเกมในช่วง 8 ปีก่อน รวมถึงมีคอมมูนิตี้เกมที่หนาแน่นมากที่สุดในประเทศไทย ทำให้เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดเกี่ยวกับกระแส GameFi และ NFT ที่กำลังเป็นที่นิยมในช่วงนี้

“แน่นอนว่าพี่มองว่าช่วงนี้เป็นช่วงทดลองของ GameFi” 

“ตอนนี้บริษัทเกมหน้าใหม่เริ่มเข้ามาทดลองสร้างเกมแบบ Play-to-Earn เป็นจำนวนมาก ซึ่งปฎิเสธไม่ได้ว่าสมัยก่อนเองก็เคยมีอะไรที่คล้ายแบบนี้อยู่อย่าง Ragnarok Online ที่ก็มีคนที่หาเงินจากการขายเงิน M ในเกม เพียงแต่ตอนนี้มันได้เปลี่ยนจากระบบ Centralized เป็น Decentralized เท่านั้น”

“อย่างบางเกมที่ภาพไม่สวย เช่น Cryptoblades ก็ยังสามารถทำเงินได้ พี่ก็งงเหมือนกัน! (หัวเราะ)” ผมหยุดบทสนทนาดังกล่าวก่อนที่จะค้นหาว่าภาพในเกม Cryptoblades นั้นเป็นอย่างไร

“พี่เชื่อว่านี่เป็นเพียงยุคเริ่มต้นเท่านั้นและเชื่อว่าค่ายเกมใหญ่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศจะเข้ามาหาจุดสมดุลด้วยการทดลองทำเกมสัก 1-2 เกมก่อน เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วเขาถึงจะเริ่มปล่อยฟังก์ชันดี ๆ เข้ามา”

“จุดสมดุลในตอนนี้ของ GameFi ในตอนนี้คือเราต้องการให้คนทั้ง 2 กลุ่มสามารถอยู่ด้วยกันได้ คือ กลุ่มที่ต้องการเล่นเกมเพื่อเก่งและกลุ่มที่ต้องการเล่นเกมเพื่อหาเงิน ซึ่งตอนนี้ยังคงมีเพียงกลุ่มของคนที่ต้องหาเงินเงินจากเกมเท่านั้น ซึ่งในอนาคตเราต้องมาดูกันอีกที”

อะไรจะมาเป็น The Next Big Thing?

ก่อนหน้านี้หลายคนมองว่า NFT จะมาเป็น the next big thing ซึ่งเรามองเห็นแล้วในปัจจุบันว่า NFT เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับคริปโทเคอร์เรนซี่และเปลี่ยนแปลงได้มากแค่ไหน แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่อันต่อไปจะเป็นอะไรกัน

“Decentralized Autonomous Organisation (DAO) และ Mass Adoption” สองคำที่ช่วยให้บทสนทนากลับกลายเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น

“DAO คือการบริหารองค์กร แบบอัตโนมัติผ่าน smartcontract อย่างที่ตอนนี้โดดเด่นในตอนนี้อย่างโปรเจกต์ Yuild Guild Game จะเป็นการที่ให้เหล่า scholar มารวมตัวกันเพื่อทำอะไรสักอย่างหนึ่ง โดย scholar จะได้ผลตอบแทนแบบอัตโนมัติผ่านบล็อกเชน และ เราจะเรียกกิลด์ 1 กิลด์ว่าเป็น subDAO”

Yield Guild Games (YGG) เป็นกิลด์ที่รวมผู้เล่นเกมในระบบ “Play-to-Earn” หรือระบบที่ผู้เล่นได้ผลตอบแทนจากการเล่นเกมต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะในโลกของ NFT Gaming โดยมีเป้าหมายที่จะกระจายรายได้ให้กับผู้เล่นเกมหลายล้านคนทั่วโลก โดยการเชื่อมเทคโนโลยี Blockchain กับบุคคลทั่วไปที่ต้องการหารายได้ ซึ่งในตอนนี้ได้เริ่มต้นกับเกม Axie Infinity ด้วยระบบ scholarship หรือการให้ยืม Axie เพื่อให้ผู้เล่นเริ่มหารายได้จาก SLP token ได้เลย โดยฟิลิปปินส์ได้เริ่มต้นก่อตั้งกิลด์นี้เป็นประเทศแรก

หลายคนอาจจะเริ่มมองแล้วว่าคริปโทเคอร์เรนซี่ในอนาคตอาจไม่จำเป็นต้องอยู่กับคนที่เล่นหรือลงทุนในคริปโตเพียงอย่างเดียว ซึ่งในปัจจุบันหลายคนจะเริ่มเห็นแล้วว่ามีการทำ NFT ใหกับวงการเอนเตอร์เทนเมนท์ กลุ่มดารา ภาพวาด เกม และแม้แต่แฟชั่นเองก็ตาม

“Mass Adoption จะเข้ามาทำให้ผู้ใช้งานแทบไม่รู้เลยว่าตนเองได้ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนอยู่ ซึ่ง Bitkub เองก็พยายามทำให้คริปโตเข้าไปอยู่ในระดับ mass ให้ได้ โดยผู้ใช้งานไม่ต้องรู้ก็ได้ว่ากำลังใช้งานเทคโนโลยีนี้อยู่ เพียงแต่ว่าสามารถตัดคนกลางออกไปได้และทำให้ทุกสิ่งมันง่ายมากขึ้น”

“มีหลายแห่งที่ตอนนี้กำลังปรับตัวให้เป็น Mass Adoption แต่ว่ายังคงอยู่เพียงในแล็บส่วนตัวเท่านั้น เช่น บางเจ้าทำ Lending Platform ผ่าน smart contact ซึ่งหลายคนเริ่มหยิบสิ่งนี้เข้ามาใช้งานในโลกความเป็นจริงมากขึ้น”

“ตอนนี้ถ้าหากเงินบาทดิจิทัลเข้าบน smart contact หรือสามารถแปลงที่ดินและสินทรัพย์ physical อย่างโฉนดที่ดินหรือเล่มทะเบียนอยู่ในรูปแบบ NFT ได้ก็สามารถปล่อยกู้ได้ด้วย smart contact แบบอัตโนมัติได้เลยโดยไม่ต้องมีคนกลาง ซึ่งพี่คาดว่าอีกภายใน 10-20 ปีนี้แหละ”

“ในอนาคต NFT มาแน่นอนและ DeFi ก็มาด้วย” พี่ต้นพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

Cryptocurrency ในปี 2565

Bitcoin ที่ผ่านมาได้สร้างจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไว้ที่ระดับ 2,130,000 บาท และเข้ามาเป็นกระแสที่โด่งดังมากในช่วงปีนี้ ทำให้อดถามไม่ได้ว่าอนาคตของ cryptocurrency จะเป็นไปอย่างไร

“พี่ก็ไม่ใช่นอสตราดามุสนะ (หัวเราะ)” ประโยคสั้น ๆ ที่ทำให้ทั้งคู่ผ่อนคลายก่อนจะหมดบทสัมภาษณ์

“อย่างที่พี่เคยบอกว่าตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมด้วยปัจจัยหลายอย่าง การเข้ามาของสถาบันทางการเงินที่เพิ่มมากขึ้นและปริมาณเงินเข้ามาก็เยอะขึ้นจากกลุ่มคนใหม่ อย่าง Bitkub เองก็โต 10 เท่าจากปีที่แล้ว ทำให้พี่มองว่าถ้ายังเป็นแบบนี้เรื่อย ๆ ข่าวดีมากเรื่อย ๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่คริปโตจะลง แต่ถ้าเป็นเหมือน Cycle เดิมก็คงอาจจะกลับไปซบเซาสัก 2-3 ปี”

“ซึ่งตอนนี้พี่ก็ยังเดาไม่ออกว่าจะเป็นยังไงเพราะปัจจุบันทุกคนมองว่าคริปโตแทบไม่ใช่คริปโตแล้ว ซึ่งพวกเขาให้ความสำคัญกับ NFT, DeFi หรือสิ่งอื่น ๆ เพื่มมากขึ้นไม่ได้เหมือนสมัยก่อนที่ให้ความสำคัญกับ Exchange ขนาดนั้น”

“ที่ผ่านมามักจะมีคนเข้ามาถามพี่บ่อย ๆ ว่าพี่มีเทคนิคแบบไหนในการมองว่าจะขึ้นหรือจะลง และพี่ก็จะบอกทุกคนว่าพี่ใช้เส้น SMA-200 ในการดูกราฟ 4 ชั่วโมงหรือกราฟวัน”

“มันน่าจะเห็นภาพหลังจากนี้แหละ ถ้า Bitcoin กลับไปเกิน 2,000,000 บาทได้ในเดือนหน้าพี่ก็คิดว่าน่าจะไปต่อ แต่ถ้าหากยัง sideway ไปเรื่อย ๆ และสถานการณ์โควิด-19 เริ่มฟื้นตัว พี่มองว่าหลายคนอาจจะถอนเอาเงินกลับไปใช้ชีวิตและลงทุนในธุรกิจตัวเองมากขึ้นแทนที่จะลงทุนในคริปโต ดังนั้นหาก Bitcoin ไม่รีบกลับตัวในช่วง 1-2 เดือนนี้ก็อาจจะซบเซาเหมือนปลายปี 2018-2019”

คำตอบสุดท้ายของบทสนทนานี้ที่ทำให้ผมได้มองเห็นแนวคิดของนักเทรดชื่อดังและมุมมองที่ชัดเจนของพี่ต้นว่าคืออะไร

“พี่มองว่าเราควรจะมีมาตราฐานของตัวเองว่าเรากำหนดตัวเองไว้ที่ไหน เมื่อมีเส้นมาตราฐานของตัวเองแล้วคุณก็จะได้รู้ว่าควรหยุด หรือไปต่อดี”