<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ดัชนีความกลัวและความโลภของ Bitcoin ร่วงแตะระดับ ‘Extreme fear’ หลังราคาร่วงแตะ 38,000 ดอลลาร์

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ดัชนี Crypto Fear and Greed ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ใช้ประเมินความเชื่อมั่นของตลาดคริปโตได้ร่วงแตะระดับ 25 หรือโซน “Extreme fear” อีกครั้ง นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา

สัญญาณดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ราคา Bitcoin ร่วงแตะระดับ $38,000 ในช่วงเมื่อวานนี้ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเริ่มลดลง และดัชนี Crypto Fear and Greed บ่งชี้ว่าตลาดคริปโตกำลังอยู่ในโหมด “กลัวสุดขีด”

ดัชนีความโลภและความกลัวหรือ Crypto Fear and Greed เป็นเครื่องมือที่ใช้ประเมินอารมณ์ของตลาดที่มีอิทธิพลต่อนักลงทุนในการซื้อ Bitcoin  โดยจะแบ่งอารมณ์ออกเป็น 3 อารมณ์หลัก ๆ ได้แก่ โลภ, กลัว และเป็นกลาง

ข้อมูลจาก Crypto Fear and Greed เผยให้เห็นว่า ระดับความกลัวสุดขีดอาจเป็นสัญญาณที่นักลงทุนเริ่มกังวลมากเกินไป และอาจหมายถึงโอกาสในการเข้าซื้อในราคาถูก แต่ในทางตรงกันข้าม เมื่อนักลงทุนโลภเกินไป ก็เป็นอาจเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าตลาดกำลังเตรียมกลับตัวไปสู่ช่วงขาลง

ราคาที่ปรับฐานอย่างรุนแรงเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำให้นักวิจารณ์ Crypto บางคนเชื่อว่าตอนนี้ตลาดหมีได้อยู่กับเราแล้ว

ในขณะเดียวกันแฟนพันธ์ุทองคำอย่างนาย Peter Schiff ก็ได้ฉวยโอกาสนี้กล่าววิพากษ์วิจารณ์ถึง ความล้มเหลวของ Bitcoin ที่ไม่สามารถเก็บรักษามูลค่าได้ท่ามกลางวิกฤตภาวะเงินเฟ้อ พร้อมชี้ให้เห็นว่าทองคำเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

อย่างไรก็ตามด้านนาย ผู้ก่อตั้ง Ethereum นาย Vitalik Butin กล่าวว่า ตลาดขาลงนั้นถือเป็นเรื่องที่ส่งผลดีต่อวงการคริปโตในระยะยาว พร้อมกันนี้เขายังกล่าวด้วยว่า ผู้ที่เชื่อมั่นในตลาดที่แท้จริงนั้นควรที่จะเปิดใจยอมรับตลาดหมี :

“พวกเขาควรยินดีกับตลาดหมี เพราะเมื่อมีช่วงเวลาอันยาวนานของราคาที่ขยับขึ้นด้วยปริมาณมหาศาลเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามันทำให้ผู้คนจำนวนมากมีความสุข แต่ก็มีแนวโน้มที่จะชวนให้มีการเก็งกำไรในระยะสั้นจำนวนมากเช่นกัน”

Buterin คาดการณ์ว่า โปรเจกต์สาย ‘กาว’ ต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะตายลงในช่วงตลาดหมี และจะมีเพียงโครงการที่ยั่งยืน (ในแง่ของโครงสร้าง ทีม และชุมชน) เท่านั้นที่จะอยู่รอดและฝ่าฟันพายุโหมกระหน่ำนี้ไปได้ ซึ่งจะช่วยให้ตลาดคริปโตนั่นมีความยั่งยืนในระยะยาว