JB Mohapatra หัวหน้าแผนกภาษีของอินเดียเปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป ผู้มีรายได้จากสกุลเงินดิจิทัลและสินทรัพย์เสมือนในอินเดียจะต้องเรียกเก็บภาษีเป็นมูลค่าสูงถึง 30%
Mohapatra กล่าวว่าข้อเสนอเก็บภาษี 30% สำหรับรายได้ cryptocurrency ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลและจะมีผลบังคับจริงภายในเดือนหน้า
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการภาษีหัก ณ ที่จ่าย 1% (TDS) มีกำหนดถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม Mohapatra กล่าว
“การจัดเก็บภาษีเงินได้ของวันนี้อยู่ที่จำนวน 13.63 แสนล้านรูปีและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกจนถึงวันที่ 30 มีนาคม การเก็บภาษีรวมสุทธิของเราในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้นได้พุ่งทะลุเกินระดับ 1.5 ล้านรูปีไปแล้ว ซึ่งเราไม่เคยได้สัมผัสกับระดับนี้มาก่อน” Mohapatra กล่าว
เขาอธิบายว่า การเก็บภาษีสุทธิของรัฐบาลนั้นเพิ่มขึ้น 48.4% ต่อปีเป็น 13.63 แสนล้านรูปี ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2018-2019
อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยเพียงไม่กี่แห่งที่ได้มีการเก็บภาษีสำหรับสกุลเงินดิจิทัลและสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งรวมถึง NFT หลังจากที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Nirmala Sitharman ได้ยื่นข้อเสนอเรียกเก็บภาษีเงินได้ 30% สำหรับการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลในงบประมาณของปี 2022
นอกจากนี้ Sitharman ยังได้เก็บภาษี ณ ที่จ่าย 1% สำหรับการทำธุรกรรมดังกล่าวเพื่อรวมประเภทสินทรัพย์ดิจิทัลให้อยู่ภายใต้ระบอบภาษีอีกด้วย
โดยเธอกล่าวว่า กระทรวงการคลังจะกำหนดมาตรการภาษีสำหรับ cryptocurrency รวมถึง NFT ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในอินเดีย
“จะไม่มีการหักลบขาดทุนหรือค่าเผื่อใด ๆ ในขณะที่คำนวณรายได้ดังกล่าว ยกเว้นต้นทุนค่าใช้จ่ายในการได้มา” Sitharman กล่าวเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคม “นอกจากนี้ การสูญเสียจากการโอนสินทรัพย์ยังไม่สามารถนำมาหักลบกับรายได้อื่น ๆ ได้อีกด้วย”
อย่างไรก็ตามสภา Blockchain และ Crypto ของอินเดีย (BACC) แนะนำให้รัฐบาลปรับลดการเก็บภาษี ณ ที่จ่ายลงเหลือ 0.01% และขอให้ Sitharman พิจารณาข้อเสนอของเธอใหม่อีกครั้ง
ในส่วนของ IndiaTech พวกเขาได้เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Nirmala Sitharaman และ Tarun Bajaj รมว.คลังสรรพากร เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงข้อเสนอของ BACC ว่า :
“หากเจตนาของข้อเสนอคือ การแสวงหารายได้เพิ่มเติมจากสินทรัพย์ดิจิทัลดังกล่าว การเก็บภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของมูลค่าธุรกรรมทั้งหมดจะทำให้ธุรกิจไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ส่งผลกระทบต่อรายได้ของภาครัฐ บีบให้นักลงทุนและผู้ประกอบการค้ารายอื่น ๆ อพยพพากันไปประกอบกิจการในประเทศอื่น ๆ ได้ หรือถูกบังคับให้หันไปใช้วิธีการแลกเปลี่ยนแบบ P2P ” Rameesh Kailasam หัวหน้าฝ่ายบริหารของ IndiaTech กล่าวในจดหมาย
ที่มา : beincrypto