คงเป็นที่รู้จักกันดีแล้วว่าราคาของ Bitcoin นั้นมีความผันผวนสูงมาก หลายครั้งที่ราคาพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงและตกลงอย่างรุนแรงในเวลาอันสั้นและนักเทรดมักจะเผชิญความหวาดกลัวในด้านราคาและเพราะราคาที่มีความผันผวนสูงได้ทำให้นักเทรดพอร์ตแตกเช่นกัน
ถึงอย่างนั้นแต่ทุกคนเลยคงสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไม จู่ ๆ ราคา Bitcoin ที่น่าจะกำลังพุ่งขึ้นกลับร่วงลงอย่างรุนแรง หลายครั้งที่กูรูด้านเทคนิคคริปโตออกมาแสดงความคิดเห็นราคา Bitcoin ก็มักจะถูกราคาเหรียญหักหน้าอยู่บ่อยครั้ง
โดยวันนี้เราจะพาไปดูเหตุการณ์สำคัญที่ตัวการทำให้ราคา Bitcoin ร่วงลงอย่างรุนแรงตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน โดยเริ่มจาก
เหตุการณ์ที่ 1 – ปี 2011 เดือน มิถุนายน
ในช่วงปี 2011 ราคาของ Bitcoin มีมูลค่าอยู่ที่ราคา $2 ก่อนที่จะพุ่งขึ้นไปแตะราคาที่ $32 ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงที่สุดในช่วงนั้น
แต่ในเดือนมิถุนายนนั่นเองดันมีเหตุที่ทำให้ราคา Bitcoin ร่วงอย่างรุนแรง ซึ่งนั่นมาจากการที่ MtGox ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นกระดานเทรดคริปโตที่ใหญ่โตในขณะนั้นได้ถูกแฮกเกอร์เจาะเข้าถึงบัญชีผู้ใช้งานหลายบัญชีและแน่นอนว่า Bitcoin ของผู้ใช้งานก็ได้ถูกขโมยไปด้วย ซึ่งคิดมูลค่าความเสียหายรวมทั้งหมดนั้นมากถึงหลายล้านดอลลาร์ในขณะนั้น จากเหตุการณ์นี้เองทำให้ราคา Bitcoin ร่วงอย่างรุนแรงถึง 99%
จากราคา Bitcoin ราคา $32 ได้ร่วงเหลือเพียงแค่ 1 เพนนีเท่านั้น(หรือเซนต์) หรือคิดเป็น หรือประมาณ 0.12 บาทไทยเท่านั้น ซึ่งภายหลังจากนั้นนักเทรดจำนวนมากได้ออกมาเรียกร้องให้ทาง MtGox ได้ออกมาชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
เหตุการณ์ที่ 2 – ปี 2012 เดือน สิงหาคม
หลายคนอาจจะเคยได้โปรเจกต์ Ponzi หลายคนรู้ว่ามันคืออะไร ซึ่งเช่นเดียวกันใน ปี 2012 ที่ผู้คนได้เริ่มที่จะรู้จักตลาดคริปโตกันแล้ว เจ้าตัวโปรเจกต์ Ponzi ก็ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดคริปโต โดยการจูงใจผลตอบแทนสูง ๆ ให้กับนักลงทุนหน้าใหม่เพื่อให้เขา ตัดสินใจที่จะลงทุนด้วย โดยโปรเจกต์นี้ได้บอกกล่าวกับนักลงทุนว่า สามารถให้ดอกเบี้ยตอบแทนได้ถึง 7% ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มากกว่าการฝากเงินในธนาคารอย่างมาก
อย่างไรก็ตามโปรเจกต์ไม่ได้ดำเนินไปได้ด้วยดี เพราะผู้ที่เป็นตัวการในการนำโพรเจกต์ Ponzi มาหากินกับนักลงทุนนั้นได้โดนตำรวจจับไปเรียบร้อย โดยจากการคาดการ ผู้ที่เป็นตัวการนอกจากจะหลอกให้ลงทุนแล้วยังทำการขโมย Bitcoin ไปอีกด้วย จำนวนมากถึง 700,000 เหรียญกันเลยทีเดียว จากเหตุการณ์นี้ทำให้ราคา Bitcoin ได้ร่วงลงไป 56%
เหตุการณ์ที่ 3 – ปี 2013 เดือน เมษายน
กลับมาที่ MtGox กันอีกครั้ง หลังจากที่โดนแฮกไปเมื่อ 2 ปีก่อน ราคา Bitcoin ก็มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะนั้นราคา Bitcoin อยู่ที่ $260 เมื่อราคาพุ่งขึ้นสูงขนาดนี้ แน่นอนว่าบรรยากาศของตลาดคริปโตก็ได้เปลี่ยนเช่นเดียวกัน นักลงทุนแห่มาลงทุนในเว็ปกระดานเทรดอย่าง MtGox กันอย่างล้มหลาม
และด้วยความแออัดของนักลงทุนที่ต้องการจะลงทุนทำให้ MtGox ก็ปัญหาอย่างเลี่ยงไม่ได้จนเมื่อระบบได้พังลง MtGox ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว แฮกเกอร์มือดีก็ได้ทำการแฮกครั้งใหญ่ ใหญ่ขนาดที่ว่าเป็นการบังคับให้ MtGox ถึงขั้นต้องปิดตัวลงกันเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งนี้สร้างความเสียหายต่อ MtGox และต่อนักลงทุนอย่างมาก
โดยการร่วงของราคาในรอบนี้ได้ร่วงไปถึง 83% จาก $260 เหลือเพียงแค่ $50 เท่านั้นถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่อาจจะทำให้นักลงทุนหลายคนสิ้นเนื้อประดาตัวกันเลยทีเดียว
เหตุการณ์ที่ 4 – ปี 2013 เดือน ธันวาคม
ในปีเดียวกันกับเหตุการณ์ของ MtGox ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนได้ออกมาบอกว่าจะไม่เอา Bitcoin พร้อมทั้งยังสั่งห้าม Bitcoin อีกด้วย นี่ถือเป็นเรื่องที่ทรงอิทธิพลมากเพราะว่าจีนเองถือเป็นประเทศที่มีประชากรที่เยอะมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยเหตุการณ์นี้ส่งผลทำให้ราคาของ Bitcoin ร่วงลดลงไปถึง 50% เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามทุกวันนี้จีนก็ยังมีกฎระเบียบที่เข้มงวดกับคริปโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสั่งห้ามขุดคริปโตอีกด้วย
เหตุการณ์ที่ 5 – ปี 2017-18 เดือน ธันวาคม
ราคา Bitcoin ได้ทำลายสถิติระดับราคาสูงที่สุดของตัวเองที่ราคาเกือบ ๆ $20,000 ในปี 2017 และหลังจากนั้นกลไกทางเศรษฐกิจก็ได้ทำพิษให้ราคา Bitcoin ร่วงลงอย่างรุนมาอยู่ในระดับราคา $12,000 ซึ่งการร่วงลงของราคาในครั้งนี้คิดเป็นมูลค่าที่ร่วงลดลงกว่า 84%
ต่อมาในปี 2018 ตลาดคริปโตยังเคราะห์ซ้ำกรรมซัดได้ถูกแฮกครั้งใหญ่ในประเทศเกาหลีใต้และญี่ปุ่นซึ่งนั่นทำให้ราคา Bitcoin ยังคงผันผวนอย่างรุนแรง ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ในช่วงระดับราคาดังกล่าวไปตลอดทั้งปี โดยในขณะนั้นมีข่าวลือว่าทั้งสองประเทศนี้ตั้งเป้าว่าจะแบนคริปโตเสียด้วยซ้ำ สิ่งนี้ส่งผลต่อความกลัวของนักลงทุนเป็นอย่างมาก
เหตุการณ์ที่ 6 – ปี 2020 เดือน มีนาคม
วิกฤตการณ์ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกอย่าง โควิด-19 แน่นอนว่ามันส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตด้วยเช่นกัน ต้องยอมรับว่าช่วงแรกนั้นการมาของ
โรคระบาดนี้ทำให้ตลาดคริปโตพังยับเยิน ราคา Bitcoin ร่วงลงถึง 50% ในเดือนเดียวและที่น่าตกใจกว่านั้นก็คงจะไม่พ้นราคาที่ Bitcoin นั้นได้ร่วงลงอย่างรุนแรงจากระดับราคาที่สูงกว่า $10,000 ไปแตะรับดับที่ต่ำกว่า $4,000
เหตุการณ์ที่ 7 – ปี 2021 เดือน พฤษภาคม
ปี 2021 นี่เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของคริปโตอย่างแท้จริง เดินไปไหนใคร ๆ ก็พูดแต่เทรดคริปโต Bitcoin กันทั้งนั้น แน่นอนแหละว่าการที่มันถูกกล่าวถึงมากมายขนาดนั้นแปลว่า คริปโตกำลังอยู่ในช่วงฮิตกัน โดยราคาได้พุ่งทะลุราคา $64,000 อย่างรุนแรง แต่ทว่าราคาก็ได้ร่วงลงอย่างรุนแรงกว่า 53% ซึ่งเหตุผลนั้น
ชายชื่อ Elon Musk ที่ใคร ๆ ก็รู้จักเขาแต่เขายังเป็นบิดาแห่ง Dogecoin อีกตั้งหาก เขาได้ประกาศว่าจะสามารถนำ Bitcoin มาชำระเงินสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของเขา Tesla ซึ่งภายหลังไม่ได้เป็นแบบนั้น ซึ่งด้วยเหตุผลนี้ทำให้ราคา Bitcoin ร่วงลงอย่างรุนแรง หลายคนก็บอกว่าเป็นเพราะเขาแน่นอน แต่หลายคนก็บอกว่าจริง ๆ แล้วจังหวะมันพอดีกันต่างหาก
เหตุการณ์ที่ 8 – ปี 2022
เหตุการณ์ในปีนี้จริง ๆ ก็เรียกได้ว่าน่าเป็นห่วง นับตั้งแต่ต้นปีเลยด้วยซ้ำ ซึ่ง ผ่านล่วงเลยมาจนเข้าสู่เดือนที่ 5 แล้วแต่ราคาของ Bitcoin ก็ยังไม่ไปไหน ยังคงไปและกลับมาอยู่ที่เดิม บ้างก็ต่ำกว่าเดิม แต่ส่วนสำคัญที่ผลต่อราคาของ Bitcoin ในปีนี้คือก็คือเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่เป็นปัญหาอย่างมาก โดยที่รัฐบาลกลางของสหรัฐอย่างเฟด ก็ได้กำลังจะเตรียมตัวขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งสิ่งที่ทำให้ราคา Bitcoin ร่วงลงมากทีเดียว
และสำหรับเหตุการณ์ต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านพ้นไปไม่เกิน 1 อาทิตย์ เหตุการล่มสลายของ Luna และ การที่ UST หลุด Peg จากรายงานได้พบว่า Bitcoin มูลค่าประมาณ 1.4 พันล้านดอลลาร์ ได้ถูกโอนออกจากบัญชีกระเป๋าเงินของ Luna Foundation Guard (LFG) ซึ่งทำให้หลายคนให้ความสนใจว่าเพราะสิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ราคา Bitcoin ร่วงลงมากกว่า 11%
สรุป
จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เราไม่มีทางรู้เลยว่าวิกฤตต่าง ๆ จะเกิดในช่วงเวลาไหน บางคนอาจจะมองว่าเป็นวิกฤตแต่อีกหลายคนอาจจะมองว่ามันเป็นโอกาสก็ได้ ดังนั้นการลงทุนนอกจากจะต้องศึกษาตลาดที่จะลงทุนอย่างมาก ยิ่งตลาดที่มีความผันผวนสูงแล้วจะทำให้นักเทรดทุกคนเกิดความวิตกกังวลกันเสียมากหากราคา Bitcoin ได้ตกต่ำลงไปมากกว่านี้
จากการล่มสลายของ LUNA ที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นความเสียหายที่รุนแรงจริง ๆ ทั้งนี้ในอนาคตไม่มีใครทราบว่าแนวทางจะเป็นเช่นไรอีก ทั้งนี้ทางสยามบล็อกเชน จึงอยากให้ทุกท่านศึกษาถึงความเสี่ยงของการลงทุนไว้อย่างเพียงพอ และเตรียมแผนที่จะรับมือกับความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา