บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด โพสต์ผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ ประกาศชี้แจงประเด็นข้อตกลงการรับประกันราคาซื้อคืนของเหรียญ KUB
วันที่ 8 มิถุนายน 2565 บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ประกาศชี้แจงประเด็นข้อตกลงการรับประกันราคาซื้อคืน ผ่านโพสต์บล็อก Medium ว่า ในช่วงเริ่มต้นของโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซี่นั้น เป็นเรื่องปกติและคาดหมายได้ที่แต่ละโปรเจกต์ต้องปกป้องผู้ลงทุนในช่วงแรกเริ่ม (early adopters) จากความผันผวนที่สูงมากของโลกคริปโตเคอร์เรนซี่ ซึ่งแต่ละเหรียญจะมีมาตรการและวิธีการที่แตกต่างกันในการสร้างแรงจูงใจและความเชื่อมั่นให้มีนักลงทุนเข้าร่วมลงทุนในช่วงริเริ่มหรือช่วงเปลี่ยนผ่านของโปรเจกต์
เหรียญบิทคอยน์ ( Bitcoin) ซึ่งเป็นเหรียญหลักในโลกคริปโตเคอร์เรนซีนั้น ในช่วงแรกเริ่มมีการสร้างแรงจูงใจและความเชื่อมั่นในการขุดเหรียญเพื่อยืนยันธุรกรรม (minning) ด้วยรางวัลสูงถึง 50 บิทคอยน์ต่อบล็อก ซึ่งปัจจุบันมีการปรับลดลงไปแล้วกว่า 3 ครั้ง จนเหลือ 6.25 บิทคอยน์ต่อบล็อก ด้วยกลไกนี้ทำให้ผู้ลงทุนในช่วงแรกเริ่มมีความมั่นใจว่าการเริ่มต้นลงทุนในการขุดเหรียญเพื่อยืนยันธุรกรรมก่อนที่จะมีการปรับลดครั้งต่อไป จะมีผลกำไรที่มากกว่าเนื่องจากได้รางวัลต่อบล็อกมากกว่า และการลดลงของรางวัลการขุดจะส่งผลให้ราคาเหรียญเพิ่มขึ้นในระยะยาว ด้วยกลไกนี้ทำให้ในเครือข่ายบิทคอยน์มีนักขุดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งความแข็งแกร่งของเครือข่ายในปัจจุบันนั้นมีมากจนเทียบไม่ได้กับความแข็งแกร่งในช่วงยุคแรกเริ่มของเหรียญแม้แต่น้อย เป็นผลมาจากการสร้างแรงจูงใจในการขุด และรากฐานที่สำคัญของเหรียญ
เหรียญไบแนนซ์ ( Binance coin) มีกลไกในการซื้อคืนและเบิร์นเหรียญ (Buyback and burn) ในทุกไตรมาส ซึ่งกลไกดังกล่าวเชื่อว่าสามารถที่จะลดความผันผวนของราคาเหรียญได้จากการลดอุปทานของเหรียญ ส่งผลให้ผู้ลงทุนมีความเชื่อมั่นในการลงทุนในเหรียญ
เหรียญโซลานา (Solana) ในช่วงต้นปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงแรกเริ่มของโปรเจกต์ มีการรับประกันราคาซื้อคืนกับผู้ซื้อที่จะเข้ามายืนยันธุรกรรม (node validator) เป็นเวลา 1 ปี นับตั้งแต่มีการวางเดิมพันตรวจสอบธุรกรรม (Staking) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ตรวจสอบระบบในช่วงริเริ่มโปรเจกต์
การรับประกันราคาซื้อคืนดังกล่าวเป็นการรับประกันให้กับผู้ที่จะเข้ามายืนยันธุรกรรม (Node Validator) เท่านั้น โดยต้องล็อคเหรียญเพื่อวางเดิมพันตรวจสอบธุรกรรม (Staking) เป็นระยะเวลา 1 ปี และเมื่อครบกำหนดหากราคาเหรียญในตลาดต่ำกว่าราคาที่ผู้ลงทุนเข้าซื้อในตอนแรก ผู้ลงทุนสามารถขายเหรียญคืนให้ Solana Foundation ได้ด้วยราคา 90% ของราคาที่ซื้อ กลไกดังกล่าวเป็นการสร้างแรงจูงใจและความเชื่อมั่นให้มีนักลงทุนเข้าร่วมทุนในช่วงริเริ่มโปรเจกต์
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่าแต่ละเหรียญมีวิธีการในการสร้างแรงจูงใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนช่วงแรกเริ่มจากความผันผวนที่สูงมากของโลกคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งกรณีของบิทคับ ข้อตกลงการรับประกันราคาซื้อคืนขั้นต่ำนั้นคล้ายกับวิธีการที่เหรียญโซลานานั้นใช้ คือการรับประกันราคาซื้อคืนให้กับผู้ที่จะเข้ามายืนยันธุรกรรม (Node Validator) เป็นเวลา 1 ปี กลไกดังกล่าวเป็นการสร้างแรงจูงใจและความเชื่อมั่นให้มีนักลงทุนเข้าร่วมทุนในช่วงเปลี่ยนผ่านฉันทามติ (Consensus) จาก Proof-of-Authority เป็นฉันทามติแบบ Proof-of-Staked-Authority โดยผู้ที่จะเข้ามายืนยันธุรกรรม (Validator Node) จะต้องเป็นผู้ที่ได้การยอมรับจากการครอบครองเหรียญ KUB จํานวนไม่น้อยกว่า 250,000 เหรียญ หรือเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงทางสังคม โดยทั้ง 2 อย่างนี้เป็นสิ่งจําเป็นที่ทําให้เครือข่าย Bitkub Chain โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
บิทคับอยู่ในระหว่างการติดต่อกับตัวแทนขององค์กรระดับแนวหน้าเพื่อชักชวนให้เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย ในขณะเดียวกันก็มีการประสานงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้เกิดการใช้ Bitkub Chain ออกไปสู่ระดับประเทศ ภูมิภาค และในระดับโลก ซึ่งการเปลี่ยนผ่านฉันทามตินั้นมีความเสี่ยงที่เปรียบได้กับการริเริ่มโปรเจกต์ใหม่ ดังที่สามารถเห็นได้จากการเปลี่ยนผ่านของเหรียญอีเธอเรียม ( Ethereum) ที่มีแผนที่จะเปลี่ยนฉันทามติจาก Proof-of-Work ไปเป็นแบบ Proof-of-Stake ผ่านการอัพเดท Constantinople ตั้งแต่ปี 2018 แต่มีการเลื่อนอยู่บ่อยครั้ง จนถึงปัจจุบันปี 2022 การเปลี่ยนผ่านฉันทามติไปเป็นแบบ Proof-of-Stake ของเหรียญอีเธอเรียมก็ยังไม่แล้วเสร็จ ดังนั้นบิทคับจึงต้องมีมาตรการในการสร้างแรงจูงใจและความเชื่อมั่นให้มีนักลงทุนเข้าร่วมทุนในช่วงเปลี่ยนผ่านของโปรเจกต์
อ้างอิงจาก Bitkub Chain Whitepaper V2.2 บิทคับขอยืนยันอีกครั้งว่า “Bitkub Chain มุ่งมั่นที่จะสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์แบบเพื่อให้เหล่านักพัฒนา ผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็กและกลาง วิสาหกิจเริ่มต้นหรือบริษัทสตาร์ทอัพ และผู้ใช้งานทั่วไป สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชนได้อย่างทั่วถึง” โดยในกระบวนการพัฒนาชุมชนบล็อกเชนเพื่อผลักดันให้เกิดการใช้งานจริง บิทคับได้ติดต่อบริษัทพันธมิตรเพื่อให้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายแล้ว และในอนาคตบิทคับจะค้นหาพาร์ทเนอร์ที่เป็นบริษัทหรือธุรกิจที่มีบทบาทสําคัญกับเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและระดับโลกรวมถึงวิสาหกิจเริ่มต้นหรือบริษัทสตาร์ทอัพที่เพิ่งเริ่มธุรกิจได้ไม่นานเพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายตัวได้อย่างราบรื่นผ่านการเปลี่ยนสินทรัพย์แบบเดิมๆ ให้อยู่ในรูปแบบของโทเคน ซึ่งทางทีมการตลาดของบิทคับจะสามารถวิเคราะห์ได้ว่าพันธมิตรแบบไหนที่เข้าร่วมแล้วจะสามารถสนับสนุนให้เครือข่ายมีคุณค่ามากขึ้นได้