ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ทาง Binance แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับต้น ๆ ของโลก ได้ประกาศจับมือกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำความเชี่ยวชาญในด้านคริปโตมาช่วยเหลือ ตำรวจไทยในการปราบปรามอาชญากรรม
การร่วมมือกันครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทาง Binance เข้ามาให้ความช่วยเหลือตำรวจไทยในการปราบปราม สแกมเมอร์ และ อาชญกรรม ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเมื่อช่วงเดือนกันยายน Binance เคยได้มีการสนับสนุนตำรวจไทยจนสามารถทำการจับกุมอาชญากร ได้สำเร็จ
Jarek Jakubcek หัวหน้าหน่วย law enforcement training ของ Binance กล่าวว่า การร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ Binance สามารถตรวจสอบ และปราบปรามอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ที่ Binance ปฏิบัติการอยู่ได้ และทำให้แพลตฟอร์มเป็นที่ยอมรับ
เขายังกล่าวอีกด้วยว่า การทำการสอบสวนจากทาง Binance นั้นไม่ได้เป็นแค่ทางเลือกสำรองอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำทันทีเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้น ด้วยจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มมากขึ้นทำให้บริษัทต้องมีมาตรการตอบโต้ที่รัดกุมยิ่งขึ้นสำหรับผู้ไม่ประสงค์ดี
โดยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา Binance ได้เปิดตัว โครงการ ฝึกซ้อมป้องกันอาชญกรรมดิจิทัลให้กับตำรวจทั่วโลก เพื่อรับมือกับอาชญกรที่มีมากขึ้น โดยในการฝึกจะเป็นการฝึกให้ตำรวจสามารถตามรอยอาชญากรได้จากประวัติการทำธุรกรรมบนบล็อกเชน
Binance ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเพียงแค่เรื่องสแกมเมอร์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงภัยจาก Dark web , Ransomware , Sextortion , และอื่น ๆ ซึ่งหากพูดถึงการสแกมจะพบว่าการสแกมส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นไม่ได้มาจากอาชญากรรายย่อย แต่เป็นองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ ที่ทำตัวเหมือนเป็นองค์กรที่ถูกกฏหมายและล่อให้ผู้ใช้งานเข้ามาติดกับ
การทำงานร่วมกับตำรวจท้องถิ่นนั้นจึงสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้กับภัยร้ายนี้ ทว่า ผลของมันนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับทั้งสองฝ่ายด้วยว่าจะสามารถทำงานร่วมกันได้หรือไม่ เพราะการสืบสวนสอบสวนนั้นไม่สามารถทำงานอยู่ฝ่ายเดียวได้ต้องอาศัยการประสานงานกันของทั้งสองฝ่าย สำหรับขั้นตอนนั้นทางตำรวจต้องยื่นคำขอให้ Binance และทางบริษัทก็จะตอบกลับภายใน 5 วันทำการ
พ.ต.อ.สุวัฒน์ เกิดแก้ว รอง ผบก.ตอท. กล่าวว่า “ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกดิจิทัลนั้น อาชญากรรมมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและตลอดเวลา ตำรวจจำเป็นที่จะต้องปรับตัวเพื่อตามให้ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคริปโต”
ทาง พ.ต.ท.ธนทัส กังร่วมบุตร สารวัตรหน่วยสนับสนุนทางไซเบอร์ในกองอาชญากรรมเทคโนโลยีขั้นสูง สำนักงานสืบสวนอาชญากรรมทางไซเบอร์ของประเทศไทย กล่าวว่า “ในบรรดาการสแกมทั้ง 14 ประเภท การสแกมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนสูงเป็นอันดับที่ 4 มีคดีมากกว่า 30,000 คดี มีมูลค่าความเสียหาย 15 พันล้านบาท ส่วนการสแกมคริปโตอยู่ในลำดับที่ 13 เสียหายกว่า 2.7 พันล้าน และส่วนใหญ่คริปโตนั้นจะถูกใช้โดยขบวนการฟอกเงิน”
พ.ต.ท.ธนทัส ยังได้กล่าวอีกว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ร่วมงานกับ Binance มาเป็นเวลาร่วม 3 ปีแล้ว โดยปัจจุบันทีมงานส่วนใหญ่เป็นอดีตตำรวจที่มีความเชี่ยวชาญ ที่มีเป้าหมายในการช่วยกู้เงินที่เสียไปคืนแก่ผู้เสียหาย
ที่มา : Bangkok Post