JFIN Chain เผยความก้าวหน้าดึงภาคธุรกิจในเครือ JVenture ทำบล็อกเชนทรานส์ฟอร์ม ลดต้นทุนบริหารระบบหลังบ้าน ชู 7 ฟีเจอร์ส ดึงดูดภาคธุรกิจ ปักธงบล็อกเชน B2B พร้อมเพิ่มช่องทางซื้อขายโทเค็น JFIN Coin ที่กระดานเทรดนอก เป็นโทเค็นสัญชาติไทยรายแรกที่ใช้คู่กับบิตคอยน์ (JFIN-BTC)
วันที่ 17 มกราคม 2567 นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จํากัด เผยกลยุทธ์และทิศทางของ JFIN Chain ปี 2024 ว่าจากที่มีการพัฒนาเทคโนโลยี และสร้างแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในปีที่ผ่านมา ตอนนี้ JFIN Chain มีความพร้อมที่จะเป็น Infrastructure Blockchain ให้กับองค์กรธุรกิจ (B2B) ด้วยเครื่องมือพร้อมใช้ (Ready-to-Use) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจทรานส์ฟอร์มสู่โลก Web3 (Empower Your Journey, Thrive the Business) ผ่านการเชื่อมบุคคลเข้ากับเทคโนโลยีที่ออกแบบจากพฤติกรรม พื้นฐานของผู้ใช้งานปัจจุบัน
“นอกจาก B2B (Business to Business) แล้ว ยังครอบคลุมถึง B2B2C (Business to Business to Customer) ที่ปัจจุบัน C ไม่ใช่เพียงแค่ Customer อีกต่อไป แต่ยังรวมถึง Community ที่เป็นกลุ่มชุมชนของผู้ที่มีความชื่นชอบในเรื่องเดียวกัน เช่น กลุ่มนักพัฒนา กลุ่มชุมชน Web3 กลุ่มครีเอเตอร์ กลุ่มนักสะสม NFT เป็นต้น”
จะเห็นได้ว่า นอกจากเครื่องมือทางธุรกิจแล้ว JFIN Chain ยังพร้อมที่จะรองรับ Gamification ที่เข้ามาร่วมบนเชน โดยในต้นปีนี้ เตรียมพบกับเกม BitmonsterNFT และ BEASTICA อีกทั้งเรายังให้น้ำหนักกับการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน (Community Building) ทั้งกลุ่มนักพัฒนา กลุ่ม Web3 ผู้ใช้งาน รวมถึงผู้ถือ JFIN ซึ่งเรามองว่าทุกกลุ่มนั้นต่างเป็นกลไกที่จะช่วยขับเคลื่อนให้บล็อกเชนขยายและเติบโตขึ้น
ล่าสุด JFIN Chain ได้ขยายอีโคซิสเต็มให้พร้อมเชื่อมต่อสู่ต่างประเทศ โดยการนำเหรียญ JFIN ขึ้นลิสต์เพื่อซื้อขายบนกระดานเทรดของพาร์ตเนอร์ต่างประเทศ เช่น Coinstore.com ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ รองรับผู้ใช้งานกว่า 3.5 ล้านคน ใน 175 ประเทศทั่วโลก
และ Liquid Crypto ผู้ให้บริการ Decentralized Finance ชั้นนำจากออสเตรเลีย
“ในกระดานเทรด Coinstore จะเป็นครั้งแรกที่เหรียญหรือโทเค็นดิจิทัลสัญชาติไทย อย่าง JFIN จับคู่ซื้อขายกับบิตคอยน์ หรือ BTC ซึ่งมีความผันผวนสูง จากเดิมที่มักจับคู่กับ Stable Coin อย่าง USDT และเงินบาทในกระดานไทย โดยจะเริ่มซื้อขายใน Coinstore เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องการเหรียญมาใช้ในอีโคซิสเต็มของ JFIN Chain”
JFIN Chain พัฒนาในปี 2022 ใช้ฉันทามติรูปแบบ Proof-of-Stake Authority (PoSA) มีองค์กรเข้ามาร่วมเป็น Validator Nodes จำนวน 11 Nodes ด้วยกัน
ด้านนายธนวินท์ รัฐเมธา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จํากัด กล่าวว่า เครื่องมือธุรกิจจาก JFIN Chain ช่วยให้องค์กรและธุรกิจเชื่อมต่อสู่โลก Web3 ได้จริง โดยออกแบบมาจากการศึกษา Pain Point หลักของธุรกิจ 4 เรื่อง ได้แก่
1) ลดค่าใช้จ่ายต้นทุน (Reduce Cost) เช่น ค่าพัฒนาแอปพลิเคชั่น ค่าบำรุงรักษา ค่าตัวคนไอที ฯลฯ
2) เครื่องมือมีคุณภาพ (Quality) สร้างเครื่องมือพร้อมใช้งานที่มีคุณภาพ และใช้งานได้จริงในธุรกิจ หรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ
3) ความรวดเร็วในการทำงาน (Fast) เนื่องจากหลายองค์กรไม่มีเวลามากพอที่จะพัฒนาระบบใหม่ ๆ
ดังนั้นเครื่องมือที่พร้อมใช้จึงเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้
4) การผ่านมาตรฐานและมีการตรวจสอบอย่างถูกต้อง (Compliance Audit) การพัฒนาบล็อกเชนของ JFIN Chain ได้รับการตรวจสอบทางบัญชีอย่างถูกต้อง และได้รับมาตรฐานความปลอดภัยทางระบบ ISO 27001
7 เครื่องมือพร้อมใช้ช่วยธุรกิจเข้าสู่โลก Web3
1.Business NFT : ตัวช่วยขับเคลื่อนธุรกิจโดย Nonfungible Tokens (NFT) ด้วยรากฐานของระบบบล็อกเชน NFT เป็นเครื่องมือหลักที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์ สร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับลูกค้าให้แข็งแรง และช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า Gen Z ธุรกิจสามารถปรับใช้งานเทคโนโลยี NFT ในรูปแบบของ Utility สอดคล้องไปกับรูปแบบของตัวเองได้
โดยเครื่องมือ Business NFT ที่ JFIN Chain พัฒนาขึ้น ใช้งานได้ตั้งแต่เริ่มรับ NFT ผ่านรูปแบบกิจกรรมต่าง ๆ ไปจนถึงนำไปใช้งานกับธุรกิจหรือร้านค้า รวมถึงจัดทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดต่าง ๆ (Campaign) อย่างต่อเนื่องสำหรับผู้ถือ NFT นั้น ๆ เหล่านี้จะช่วยให้การทำงานขององค์กรและธุรกิจเชื่อมต่อได้ง่าย รวดเร็ว และพร้อมใช้งานโดยที่ไม่ต้องใช้ทีมพัฒนาบล็อกเชนเพิ่มแต่อย่างไร
2.Join Application : ออกแบบมาเพื่อเป็นทางลัดในการเชื่อมต่อธุรกิจเข้าสู่โลกบล็อกเชนด้วยกระเป๋า (Wallet) ที่เป็น Mobile Application ที่มาพร้อมฟีเจอร์บล็อกเชนสำเร็จรูปบน ไม่ว่าจะเป็น Tokenization, NFT, Community, Gamification, Airdrop และอีกมากมาย ด้วยแอปพลิเคชั่นพร้อมใช้งานนี้จะช่วยให้ธุรกิจประหยัด
ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา แล้วมุ่งเน้นสร้างประโยชน์เพื่อทำกิจกรรมทางการตลาด สร้าง Customer Engagement หรือตอบโจทย์องค์กรที่มองหาเครื่องมือในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล สร้าง Employee Engagement ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบันของคนรุ่นใหม่
3.Join Rewards : ตอบโจทย์การสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มชุมชน (Community) เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมในธุรกิจด้วยการใช้งาน Join Rewards ที่จะช่วยสร้าง Engagement กับลูกค้าและชุมชนได้ง่ายขึ้น ผ่านกิจกรรมบน Join Application โดยที่ผู้ใช้งานองค์กรไม่จำเป็นต้องสร้างแอปพลิเคชั่นเอง และปรับใช้งาน Template สำเร็จรูปได้ด้วยตัวเอง
4.Token Generation : ตัวช่วยให้ระบบนิเวศธุรกิจแข็งแกร่งขึ้น ด้วยการสร้างและบริหารจัดการโทเค็น โดยที่ไม่ต้องพัฒนาขึ้นมาเอง ด้วยบริการ Token Generation อีกตัวช่วยที่เปิดโอกาสในการทำธุรกรรม และแลกเปลี่ยนโทเค็นเป็นไปได้ง่าย และใช้งานได้จริง
5.JFIN Name Service (JNS) : เพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารให้ดีขึ้น ด้วยการลดปัญหาการจดจำเลขกระเป๋า Web3 หรือเว็บไซต์ยาว ๆ ด้วยการสร้าง Name Service ในแบบ Decentralized มั่นใจได้ในความปลอดภัยว่าเป็นตัวจริง ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง ช่วยยกระดับการจัดการธุรกิจให้เป็นไปได้ด้วยความน่าเชื่อถือ
6.Klaiklai Decentralization Web3 Social Map : แพลตฟอร์ม GeoLocation เครื่องมือเชื่อมต่อผู้ใช้งานในแบบ Online to Offline ที่จะสร้างประสบการณ์ให้ทั้งบุคคล ชุมชน และธุรกิจ ตอบโจทย์ธุรกิจด้วยฟีเจอร์ทางการตลาดที่จะช่วยดึงผู้ใช้งานจากออนไลน์ให้มาร่วมสร้างปฏิสัมพันธ์ในโลกจริง ผ่านกิจกรรมบนแอปพลิเคชั่น สำหรับ KlaiKlai เป็น Mobile Application ที่ทำงานในแบบ Contribute to Earn ผู้ใช้งานสะสม Exp เพื่อไปใช้แลกเป็น Token และรับรางวัลได้จริง
7.Blockchain Layer 2 : Network Blockchain Layer 2 เป็น Network Blockchain สำรอง ที่รองรับการเก็บข้อมูลปริมาณมากและมีความรวดเร็ว เพื่อรองรับ Use Case ของธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องเก็บข้อมูลปริมาณมาก ทำให้การทำธุรกรรมรวดเร็ว และมีค่าใช้จ่ายต่ำ มั่นใจได้ในความปลอดภัย และโปร่งใสตรวจสอบได้ของเทคโนโลยี บล็อกเชน
ตัวอย่างการใช้งานบน JFIN Chain
สำหรับปี 2023 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่เรียกว่า “The Year of Collaboration” เนื่องจาก JFIN Chain ได้มีการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ทั้งการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ และการต่อยอดพัฒนาของที่มีให้เกิดการใช้งานจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเอาเทคโนโลยี NFT (Nonfungible Tokens) เข้ามาเป็นเครื่องมือทรานส์ฟอร์มให้ธุรกิจก้าวสู่โลกบล็อกเชนและ Web3 ซึ่งนำมาใช้จริงแล้วกับธุรกิจ (Real Use Case)
เช่น การใช้ NFT เพื่อสร้าง Customer Engagement กับร้านสุกี้ตี๋น้อย และร้านกาแฟ Casa Lapin หรือการนำ NFT มาเป็นรางวัลพรีเมี่ยมพร้อมกับสิทธิพิเศษให้กับผู้ร่วมงานคอนเสิร์ต Overcoat ครั้งที่ 13
ในส่วนของเหรียญโทเค็น (Token) JFIN Chain มีผู้พัฒนาโปรเจ็กต์และมีเหรียญมาร่วมกันอยู่บนเชนมากมาย ตอบโจทย์การใช้งานและไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น XWEL ที่เป็นเหรียญ
สำหรับองค์กรในรูปแบบ “Work to Earn, WIRTUAL เหรียญจากแอปพลิเคชั่นออกกำลังกายชื่อดัง และ KGO เหรียญ City Token จากจังหวัดขอนแก่น ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคให้ขยายขึ้นต่อไปอีก
ที่มา : prachachat