ในระหว่างการไต่สวนคดีที่กรุงลอนดอน Craig Wright บุคคลที่มักอ้างตัวว่าเป็น Satoshi บิดาผู้สร้างสกุลเงิน Bitcoin ได้พยายามปฏิเสธข้อโต้แย้งทั้งหมดที่ทนายความฝ่ายโจทก์ชี้ให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นการลอกเลียนแบบผลงานตัวเอง (self-plagiarism) ไปจนถึงการบริหารเวลาที่ย่ำแย่ (poor multitasking)
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Craig Wright นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ชาวออสเตรเลียได้กล่าวว่า “ถ้าผมจะปลอมแปลงเอกสารนั้น เอกสารมันจะต้องสมบูรณ์แบบมากกว่านี้” เพื่อปฎิเสธข้อกล่าวหาว่าเขาไม่ใช่ผู้อยู่เบื้องหลัง Bitcoin กลางห้องพิจารณาคดีที่ศาลยุติธรรม ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
คำพูดของ Craig Wright พยายามชี้ให้เห็นว่า เอกสารใน pdf ที่ทนายฝ่ายโจทย์นำมาโจมตีเขามันมีความไม่สอดคล้องกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเอกสารทั้งหมดไม่ได้มีการแก้ไข แต่อาจหมายถึงการสร้างเอกสารขึ้นมาใหม่เพื่อมาโจมตีเขาโดยเฉพาะ เขาตั้งคำถามต่อหน้า James Mellor หัวหน้าผู้พิพากษาว่า “ถ้าคุณได้เข้าไปแก้ไขเอกสารที่โปรแกรม adobe ผมเชื่อว่าคุณจะต้องแก้ไขเอกสารทุกอย่างไม่ให้มีข้อผิดพลาดสักตัวอักษร”
ก่อนหน้านี้ Craig Wright เคยถูกกลุ่มผู้ที่สนับสนุน Bitcoin และนักพัฒนาระบบรวมตัวกันเพื่อฟ้องว่าเขาปลอมแปลงหลักฐานทั้งหมดเพื่อสวมรอยเป็น Satoshi Nakamoto ผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างบิตคอยน์และคริปโตที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน
วันอังคารที่ผ่านมา ณ ห้องพิจารณาคดี กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ Wright ได้กล่าวปฎิเสธข้อกล่าวหาที่ว่า เขาปลอมแปลงเอกสารทั้งหมดเพื่อสวมรอยเป็นเป็นซาโตชิอย่างดุเดือดในห้องพิจารณาคดีต่อหน้าฝ่ายโจทย์ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้ออกมายอมรับตลอดว่า เขาคือซาโตชิผู้ที่อยู่เบื้องบิตคอยน์ รวมถึงได้เขียนเอกสารสำคัญเกี่ยวกับบิตคอยน์ที่เรียกว่า white paper
ปัญหาของคดีนี้?
หลังจากที่ Wright พยายามปฎิเสธหลักฐานทั้งหมดที่โจมตีว่า เขาไม่ใช่ซาโตชิผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างบิตคอยน์ Jonathan Hough ทนายความจากบริษัท Bird & Bird LLP ซึ่งเป็นที่ปรึกษาคดี COPA (Crypto Open Patent Alliance) กล่าวว่า ถ้าพิจารณาจากการลอกเลียนงานของตนเอง ความผิดพลาดที่เกิดจากการพิมพ์ ไปจนถึงการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของพยานหลายคน หลักฐานทุกอย่างล้วนขัดกับข้อโต้แย้งของ Wright
Hough ถาม Wright ว่า “คุณจะยอมรับหรือไม่? ว่า บทคัดย่องานวิจัยจำนวนมากที่ถูกแชร์ผ่าน Twitter ที่เรียกว่า BlackNet ในปี 2002 ของคุณ ภาษาและแนวคิด มันดันไปตรงกับสิ่งที่ปรากฎใน White paper ของ Bitcoin ในปี 2008”
นอกจากนี้ Wright ยังใช้คำพูดลักษณะเดิมพูดอธิบายว่า “ คุณกำลังสันนิษฐานว่าผมมีรูปแบบการเขียนที่เป็นเส้นตรง อันที่จริงแล้วผมมีรูปแบบการเขียนหลายเวอร์ชัน” โดยเขาเสริมว่าเขามีทั้ง white paper และบทคัดย่อ BlackNet ของเขาอีกหลายเวอร์ชัน”
Hough ยังคงถาม Wright ต่อว่า “ทำไม? นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ถึงได้ปิดบังแถบที่อยู่เบราว์เซอร์ ในขณะที่ระบบบันทึกวิดีโอของเขากำลังทำงาน Hough กล่าวหาว่าสาเหตุที่ Wright ทำแบบนี้เพื่อต้องการเข้าถึงอีเมล์ที่เชื่อมโยงว่าเขาเป็นซาโตชิ” ซึ่ง Wright อธิบายว่าทั้งหมดเป็นพฤติกรรมการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งสมควรแก่การถูกตำหนิ นอกจากนี้ Wright ยังพูดเสริมด้วยว่า “คุณไม่สามารถควบคุมเมาส์และโทรศัพท์ได้ในเวลาเดียวกัน”
Hough ยังคงถาม Wright ต่อว่า “แล้วถือของสองสิ่งไว้นิ่งๆไม่ได้เหรอ” Wright ตอบว่า “ไม่ได้”
Hough ยังคงถาม Wright ต่อว่า “ในฐานะที่ Wright เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเอกสารทางนิติวิทยาศาสตร์จะมองว่าวิดีโอดังกล่าวมันเหมือนกับการพยายามตัดต่อหรือไม่?”
Wright ตอบว่า “ไม่” พร้อมทั้งพูดปราศรัยต่อหน้าผู้พิพากษาว่า “คนที่จะมีทักษะในการทำเรื่องดังกล่าวได้ คือ คุณต้องไปหานักพัฒนาซอฟแวร์เพื่อดำเนินการแก้ไขดัดแปลงมัน”
ความลังเล?
หลังจากที่ Hough ได้สอบปากคำ Wright เป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม Wright ยังหยิบยกหลักฐานทางการทำธุรกรรมของเขาไม่ว่าจะเป็น การชำระเงินด้วยบัตรเครดิต, อีเมล, เอกสาร และ ทวิตที่กล่าวหาเขาในคดี COPA เพื่อมาลบล้างข้อครหาที่กล่าวว่าเขาหน้าด้านที่โกหกว่าตนเองเป็นซาโตชิ
แต่พอ Wright ถูกซักถามว่าเขาจะอธิบายหลักฐานที่เขาและทนายจะนำเสนอต่อศาลเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่สุด สำหรับใช้ในการสนับสนุนว่าเขาเป็นซาโตชิหรือไม่? ส่งผลให้Wright เกิดความรู้สึกลังเลใจ
ผู้พิพาษาศาล Mellor กล่าวว่า “นี่เป็นคำถามง่ายๆเองนะ”
ในที่สุด Mellor ก็อนุญาติให้ Wright ส่งหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้เพื่อมาพิจารณาใหม่เพิ่มเติมในวันตัดสินคดี COPA ครั้งหน้า แต่เตือนว่าเขาอาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้ส่งหลักฐานใด ๆ เพิ่มเติมอีก
ทั้งนี้การสอบสวนคดีของ Wright จะดำเนินต่อไปจนถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์เป็นอย่างน้อย ตามกำหนดการเบื้องต้นของศาล
ที่มา: coindesk