<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

5 เหตุผลว่าทำไม Bitcoin ถึงคงกระพันอยู่รอดมาได้ตลอด 10 ปี

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ปัจจุบัน Bitcoin ถูกขนานนามว่า “ราชันย์แห่งคริปโตทั้งปวง” และ “เป็นเหรียญคริปโตตัวแรกของโลก” แต่ทราบหรือไม่ว่าตลอดทศวรรษที่ผ่านมา มีการพยายามล้มล้าง Bitcoin หลายต่อหลายครั้งจากหลายหน่วยงาน มีสื่อหลายสำนักพาดหัวข่าวว่า Bitcoin ตายแล้ว แต่นั่นก็มิอาจทำให้ Bitcoin สูญสลายไปได้ ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านมาดูว่าทำไม Bitcoin นั้นถึงคงกระพันจนถึงทุกวันนี้

1. Bitcoin ไม่มีจุดศูนย์กลาง 

เป็นที่ทราบกันดีว่าหากเราต้องการยุติการทำงานของเครือข่ายใด ๆ “ศูนย์กลางนั้นจะถูกเพ่งเล็งอยู่เสมอ เมื่อศูนย์กลางถูกปิดระบบเหล่านั้นก็จะไม่สามารถคงอยู่ได้อีก” แต่วิธีการนั้นไม่สามารถใช้ได้กับ Bitcoin เพราะ Bitcoin ไม่ได้มีเซิฟเวอร์ หรือถูกกระจุกตัวกันอยู่ที่เดียว ทำให้ Bitcoin นั้นไม่มีจุดอ่อนตรงนี้ และหากต้องการโจมตีเครือข่าย Bitcoin เหล่าผู้ไม่ประสงค์ดีจะต้องทำการถือครอง nodes มากกว่า 50% ของเครือข่าย ซึ่งปัจจุบันมี nodes สาธารณะประมาณ 18,000 คอยตรวจสอบและดูแลระบบ Bitcoin อยู่ทุกวันและตลอดเวลา ทำให้การที่จะโจมตี nodes เหล่านี้นั้นเป็นเรื่องยากและใช้งบประมาณที่สูง ทำให้ไม่คุ้มค่าที่จะโจมตี

2. “ETF” และการเข้ามาของนักลงทุนสถาบัน

เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมนักลงทุนต่างดีใจที่ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ทำการอนุมัติกองทุน Bitcoin Spot ETF เพราะนอกเหนือจากการที่จะมีเงินทุนไหลเข้ามายัง Bitcoin แล้วนั้น การที่สถาบันการเงินเข้ามาร่วมลงทุนด้วยจะเรียกได้ว่าเป็นการปิดตายโอกาสที่ Bitcoin จะพังทลายลงได้เลย เพราะเหล่าสถาบันต่าง ๆ จะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด และเมื่อสถาบันการเงินให้การยอมรับในตัว Bitcoin จะส่งผลให้นักลงทุนปกติเริ่มให้การยอมรับ Bitcoin และกดดันให้ประชาชนคนอื่น ๆ รวมถึงรัฐบาลยอมรับ Bitcoin ตามมาในที่สุด

3. หน่วยงานกำกับดูแลเป็นทั้ง “โล่ที่ปกป้อง และ ดาบที่ทิ่มแทง” 

จริงอยู่ที่ชาวคริปโตอาจไม่ชอบให้มีหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามายุ่มย่ามกำกับดูแลคริปโตเคอร์เรนซี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากปราศจากการดูแลและตรวจสอบจากหน่วยงานเหล่านั้นเราอาจไม่ได้เห็น Bitcoin รวมถึงคริปโตตัวอื่นดำรงอยู่ถึงทุกวันนี้ เพราะการตรวจสอบของหน่วยงานเหล่านั้นช่วยเพิ่มความโปร่งใสให้กับสินทรัพย์ดิจิทัลได้เป็นอย่างมาก

4. Bitcoin ไม่มีเชื้อชาติ ไม่สนเรื่องการเมือง

นอกจาก Bitcoin จะไม่มีศูนย์กลางตามที่เราได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว Bitcoin ยังไม่มีเชื้อชาติ และปราศจากการควบคุมโดยประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งนั่นเองส่งผลให้ Bitcoin นั้นไม่สะทกสะท้านในด้านการเมืองหรือเวลาเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศน้อยใหญ่ หรือประเทศมหาอำนาจ เว้นเสียแต่ว่าประเทศเหล่านั้นจะทำการสั่งห้ามแบนไม่ให้มีการซื้อขายใช้งานคริปโต แต่ผลลัพธ์ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่ามันไม่มีผล ยกตัวอย่างเช่นประเทศจีนที่มีการแบนคริปโต แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนในประเทศแอบขุด หรือแอบซื้อขาย Bitcoin กันแต่อย่างใด

5. โลกกำลังจะแตก !

สาเหตุสำคัญเลยที่คนยังทำการซื้อขาย Bitcoin นอกเหนือจากการเก็งกำไรแล้ว ยังมีอีกส่วนที่ซื้อ Bitcoin ไว้เพื่อเป็นตัวกลางในการเก็บมูลค่า ซึ่งเป็นการตอบโจทย์วัตถุประสงค์หลักของการสร้าง Bitcoin ของตัว Satoshi Nakamoto เพราะ Bitcoin ถูกออกแบบมาให้เป็นเงินตราของโลกอนาคตในวันที่เงินสกุลเฟียตไม่สามารถคงความน่าเชื่อถือได้อีกต่อไป เพราะในขณะที่เงินของประเทศเล็ก ๆ กำลังโดนลดทอนมูลค่าจากภาวะเงินเฟ้อ เหล่าประเทศมหาอำนาจก็คอยเสกเงินขึ้นมาได้เรื่อย ๆ ซึ่งการที่ Bitcoin มีอุปทานที่จำกัดทำให้เรื่องเงินเฟ้อแทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลยกับ Bitcoin มิหนำซ้ำนอกเหนือจากการที่คนลงทุนใน Bitcoin เพราะกลัวเงินเฟ้อและไม่เชื่อมั่นในเงินเฟียตแล้วนั้น Bitcoin ยังสามารถพกไปได้ทุกที่โดยไม่ถูกตรวจสอบ รวมถึงมีสถานที่เก็บปลอดภัยกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งในประเทศที่กำลังมีสงครามอยู่และประชาชนไม่สามารถรักษาสินทรัพย์ หรือขนย้ายสินทรัพย์ รวมถึงปกป้องความมั่งคั่งของตนเองเอาไว้ได้ เห็นได้จากกรณีของประเทศยูเครน 

และทั้งหมดนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม Bitcoin ก็ไม่สามารถถูกทำลายได้และในปัจจุบันด้วยมูลค่าตลาดสูงถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้ในตอนนี้ก็สายไปเสียแล้วที่จะมาล้มล้าง Bitcoin