<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

รู้จักกับทฤษฏี “คนที่โง่กว่า” ตำแหน่งที่ไม่มีนักเทรดคนไหนอยากจะเป็น

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เมื่อพูดถึงการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่คริปโตเคอร์เรนซี หนึ่งในกลยุทธ์และความเชื่อที่มักจะถูกพูดถึงบ่อยครั้งคือ “ทฤษฎี Greater Fool” หรือแปลได้ว่า “ทฤษฎีคนโง่ที่ใหญ่กว่า” ซึ่งในภาษาการลงทุน หมายถึงสถานการณ์ที่นักลงทุนยินดีที่จะซื้อสินทรัพย์ในราคาที่สูงกว่ามูลค่าจริง เพียงเพราะหวังว่าจะขายต่อให้คนอื่นได้ในราคาที่สูงกว่า โดยไม่สนใจว่ามูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์นั้นจะเป็นอย่างไร

ทฤษฏี Greater Fool คืออะไร?

ทฤษฎีนี้มีจุดเริ่มต้นจากความเชื่อที่ว่า ไม่ว่าราคาของสินทรัพย์จะสูงแค่ไหน ก็ยังมี “คนโง่” ที่พร้อมจะซื้อในราคาที่สูงขึ้นเสมอ และเมื่อตัวคุณเองซื้อสินทรัพย์ในราคาที่ดู “แพงเกินไป” ในตอนนี้ แต่ก็หวังว่าอีกไม่นานจะมี “คนโง่ที่ใหญ่กว่า” (Greater Fool) เข้ามาซื้อในราคาที่สูงกว่านั้น ซึ่งทำให้คุณสามารถขายออกไปได้และทำกำไร

ความเข้าใจผิดนี้นำไปสู่การเก็งกำไรแบบไร้เหตุผล และบ่อยครั้งก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์ต่าง ๆ เมื่อความจริงปรากฏว่า ไม่มี “คนโง่” คนไหนที่จะยอมซื้อต่อในราคาสูงกว่าอีกแล้ว ราคาของสินทรัพย์ก็จะเริ่มร่วงลงอย่างรวดเร็ว และผู้ที่ถือครองสินทรัพย์อยู่ในขณะนั้นจะกลายเป็น “คนโง่คนสุดท้าย” ที่ต้องรับภาระกับมูลค่าที่ดิ่งลง

ตัวอย่างของทฤษฎี Greater Fool ในโลกการลงทุน

หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนคือ วิกฤตฟองสบู่ดอกทิวลิปในศตวรรษที่ 17 ของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งในขณะนั้น ดอกทิวลิปถูกซื้อขายในราคาที่สูงเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริงไปมาก เนื่องจากนักเก็งกำไรเชื่อว่าจะมีผู้ซื้อคนต่อไปยอมจ่ายแพงกว่า แต่เมื่อความจริงปรากฏว่าราคาสูงจนเกินไปและไม่มีผู้ซื้อรายใหม่เข้ามา ราคาดอกทิวลิปก็ร่วงลงอย่างรุนแรง ทำให้เศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์เกิดวิกฤติอย่างหนัก

อีกตัวอย่างที่พบได้บ่อยในยุคปัจจุบันคือในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ที่ผู้ลงทุนมักจะยินดีซื้อเหรียญที่มีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นอย่างไร้เหตุผล หวังเพียงว่าจะมีผู้ลงทุนรายอื่นที่ยอมซื้อในราคาที่สูงกว่า แต่เมื่อฟองสบู่แตกลง นักลงทุนที่ถือเหรียญอยู่นั้นก็จะกลายเป็น “คนโง่” ที่ต้องยอมขาดทุน

ทำไม “คนโง่” ถึงเพิ่มขึ้นในตลาดที่มีความเสี่ยงสูง?

เหตุผลหนึ่งคือความโลภและความกลัวในการพลาดโอกาส (Fear of Missing Out หรือ FOMO) เมื่อราคาสินทรัพย์ใด ๆ พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้คนมักจะเข้ามาลงทุนอย่างไร้เหตุผล โดยไม่คำนึงถึงมูลค่าที่แท้จริง ด้วยความเชื่อที่ว่าราคาจะสูงขึ้นอีกเรื่อย ๆ และตนเองจะสามารถทำกำไรได้หากขายได้ทันเวลา

แต่เมื่อความคาดหวังไม่เป็นไปตามที่คิด การเทขายอย่างรวดเร็วก็จะตามมา ทำให้ราคาลดลงอย่างรุนแรง ผู้ที่ยังคงถือสินทรัพย์อยู่ก็จะตกอยู่ในสถานะของ “คนโง่ที่ใหญ่ที่สุด” ที่ต้องขาดทุนอย่างหนัก

ข้อเสียของการใช้ทฤษฏี “Greater Fool”

แน่นอนว่าขึ้นชื่อว่าการลงทุนย่อมมีความเสี่ยงอยู่เสมอ โดยกลยุทธ์ Greater Fool แม้จะเสี่ยงมาก ๆ แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มใช้อยู่ โดยข้อเสียหลักของกลยุทธ์นี้ก็คือ “เราไม่สามารถเดาได้ว่าตัวเองจะกลายเป็น Greater Fool เสียเองรึเปล่า” เพราะจุดมุ่งหมายของกลยุทธ์นี้คือหาคนจะเข้ามาเป็นไม้ผลัดรับช่วงต่อ แต่ถ้าหากคุณเป็นไม้สุดท้ายเองนั่นก็หมายความว่าคุณกำลังจะขาดทุนอย่างย่อยยับเมื่อฟองสบู่ราคาของสินทรัพย์ที่ถูกประเมินไว้สูงเกินไปนั้นแตกออกมา 

แล้วทฤษฏีนี้ใช้ได้ผลไหม?

ถ้าให้ตอบแบบกระชับเลย ก็ขอตอบว่ากลยุทธ์ดังกล่าวสามารถใช้ได้จริง แต่ก็เป็นไปตามที่กล่าวไปข้างต้นเลย คือไม่มีใครอยากเป็นคนสุดท้ายในวง ดังนั้นถ้าหากนักเทรดสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเหรียญที่กำลังเกิดเทรนด์ FOMO อยู่นี้ยังสามารถไปต่อได้อีกหน่อย ก็สามารถเข้ามาหากำไรระยะสั้นได้ในจุดนี้

วิธีการหลีกเลี่ยงการเป็น “Greater Fool”

  1. ศึกษามูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์: ก่อนที่จะซื้อขายสินทรัพย์ใด ๆ ควรทำการศึกษาและประเมินมูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ของสินทรัพย์นั้นให้ดี หากสินทรัพย์ใดมีราคาที่สูงเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริงไปมาก อาจเป็นสัญญาณของฟองสบู่ในตลาด
  2. หลีกเลี่ยงการซื้อขายตามอารมณ์: การลงทุนด้วยอารมณ์ เช่น ความกลัวว่าจะพลาดโอกาส (FOMO) หรือความตื่นเต้นในขณะที่ราคากำลังพุ่งสูง มักจะทำให้การตัดสินใจผิดพลาด ควรมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนและยึดมั่นในหลักการที่ตั้งไว้
  3. อย่าเชื่อในความคิดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ: ความคิดที่ว่าราคาสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีจุดสิ้นสุดเป็นกับดักที่นักเก็งกำไรมักตกอยู่ ความจริงแล้ว ทุก ๆ ตลาดย่อมมีวงจรของการขึ้นและลง การคิดว่าสามารถหาคนซื้อรายใหม่ได้เสมอเป็นความเชื่อที่เสี่ยงอันตราย

ที่มา : Chase