ดูเหมือนว่ากระแสของการเก็บรักษาคริปโตด้วยตนเอง (self-custody) จะกำลังมาแรงอีกครั้ง หลังจากราคา Bitcoin เข้าใกล้ระดับ 100,000 ดอลลาร์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย Trezor ผู้ให้บริการ Hardware-wallet เปิดเผยว่ายอดขายกระเป๋าเพิ่มขึ้นถึง 600% ในสัปดาห์เดียวกัน
ในวันที่ 22 พฤศจิกายน เมื่อ Bitcoin ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 99,645 ดอลลาร์ ตามข้อมูลจาก CoinGecko ซึ่งทาง Trezor รายงานว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่มียอดขายสูงสุดในประวัติศาสตร์ แซงหน้าสถิติเดิมที่เคยทำไว้ในเดือนพฤษภาคม 2023
โดยหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ความต้องการ Wallet ของ Trezor พุ่งสูงขึ้นนั้น มาจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดย Danny Sanders ซึ่งหัวหน้าฝ่ายพาณิชย์ของ Trezor ระบุว่าการที่ Donald Trump ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งมีผลกระทบอย่างมากต่อตลาดคริปโต โดยเฉพาะการเพิ่มความต้องการโซลูชันการจัดเก็บสินทรัพย์แบบ self-custody
Sanders เสริมว่า การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในสหรัฐฯ จะส่งผลต่อการกำกับดูแลคริปโตอย่างมาก โดยเปลี่ยนจากท่าทีที่ไม่เป็นมิตรมาเป็นท่าทีที่สนับสนุนมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะนำมาซึ่งความชัดเจนในกฎระเบียบและการยอมรับจากสถาบันมากขึ้น
นอกจากการเลือกตั้งสหรัฐฯ แล้ว การเพิ่มขึ้นของราคาครั้งนี้ยังมาจากปัจจัยอื่น เช่น การ Halving ครั้งที่ 4 ของ Bitcoin ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนเมษายนที่ผ่านมา และการพัฒนาเศรษฐกิจมหภาค
แนวโน้มที่เกิดขึ้นนี้ ทำปริมาณ Bitcoin ที่เก็บไว้บนกระดานเทรด เช่น Binance และ Coinbase ลดลงจำนวนมากจนแตะจุดต่ำสุดในรอบ 6 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณของการหันมาใช้ self-custody มากขึ้น โดยในปี 2024 นี้ มีการถอน Bitcoin ออกมากถึง 427,000 BTC หรือราว 40 พันล้านดอลลาร์
“คำกล่าวว่า ‘ไม่ใช่กุญแจของคุณ ไม่ใช่เหรียญของคุณ’ ยังคงเป็นคำเตือนที่สำคัญในตลาดนี้ โดยเฉพาะเมื่อมองถึงความเสี่ยงจากการฝากสินทรัพย์ไว้บนกระดานแลกเปลี่ยนที่อาจล่มสลาย”
ไม่เพียงแค่ Trezor เท่านั้น ผู้ให้บริการกระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์รายอื่น เช่น Ledger จากฝรั่งเศส ก็พบการเติบโตที่คล้ายคลึงกัน โดย Pascal Gauthier CEO ของ Ledger เปิดเผยว่า ในช่วงก่อน Black Friday ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า และธุรกรรมเพิ่มขึ้น 3.5 เท่า
“หลังจาก Black Friday เรายังเห็นการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ซึ่งกลายเป็นวันที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ของ Ledger”
ที่มา: Cointelegraph