<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

รายงานเผย! แฮ็กเกอร์ Bybit ฟอกเงินแล้วกว่า 605 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 50% ของเงินที่ถูกขโมยไป

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

รายงานล่าสุดจาก Lookonchain พบแฮ็กเกอร์ที่เจาะระบบของ Bybit สามารถฟอกเงินที่ขโมยไปได้กว่า 50% ภายในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ แม้ว่านักวิเคราะห์จะสามารถระบุตัวตนของพวกเขาได้ก็ตาม

การแฮ็กครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ โดยแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต Bybit สูญเสียสินทรัพย์มูลค่ากว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการแฮ็กที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ คริปโต

Lookonchain รายงานว่าแฮ็กเกอร์ได้ทำการฟอกเงินไปแล้วกว่า 605 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 54% ของทรัพย์สินที่ถูกขโมยไป โดยยังถือครอง Ethereum อีก 229,395 ETH คิดเป็นมูลค่าประมาณ 514 ล้านดอลลาร์

“แฮ็กเกอร์ Bybit ฟอกเงินไปแล้ว 270,000 ETH (605 ล้านดอลลาร์) และยังคงถือครอง 229,395 ETH (514 ล้านดอลลาร์)”

โดยหลายบริษัทวิเคราะห์ บล็อกเชน รวมถึง Arkham Intelligence ระบุว่า กลุ่มแฮ็กเกอร์ Lazarus Group จากเกาหลีเหนือคือผู้อยู่เบื้องหลังการแฮ็ก Bybit ครั้งนี้ พวกเขาใช้โปรโตคอลแลกเปลี่ยนข้ามเชน THORChain ในการเคลื่อนย้ายเงินที่ถูกขโมย ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการแลกเปลี่ยนของ THORChain พุ่งทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ภายในเวลาอันสั้น

ความเกี่ยวข้องของ THORChain กับการฟอกเงินของแฮ็กเกอร์สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงการคริปโต โดยเฉพาะคุณสมบัติที่ช่วยปกปิดตัวตนของผู้ใช้งาน ซึ่งทำให้หน่วยงานต่างๆ ไม่สามารถติดตามเงินที่ถูกขโมยไปได้

หนึ่งในนักพัฒนาแกนหลักของ THORChain ที่ใช้ชื่อว่า “Pluto” ได้ประกาศลาออกจากโครงการทันทีหลังจากมีการโหวตให้บล็อกธุรกรรมที่เชื่อมโยงกับแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือแต่ไม่ผ่านการอนุมัติ “ผมจะไม่พัฒนา THORChain อีกต่อไป แต่จะยังอยู่เพื่อช่วยให้การส่งมอบหน้าที่เป็นไปอย่างราบรื่น” Pluto กล่าวผ่าน X

ขณะเดียวกัน FBI ได้ออกคำเตือนให้แพลตฟอร์มคริปโตและผู้ตรวจสอบบล็อกเชนช่วยกันตัดช่องทางการทำธุรกรรมของ Lazarus Group และยืนยันว่าการแฮ็ก Bybit เป็นฝีมือของกลุ่มแฮ็กเกอร์จากเกาหลีเหนือ 

อย่างไรก็ตาม John-Paul Thorbjornsen ผู้ก่อตั้ง THORChain ยืนยันว่าที่อยู่กระเป๋าเงินที่ถูกลงโทษจากสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศของสหรัฐฯ (OFAC) ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับโปรโตคอลโดยตรง แต่ยอมรับว่าแฮ็กเกอร์สามารถเคลื่อนย้ายเงินได้เร็วกว่าระบบตรวจจับของเครือข่าย

“มันเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดหวังว่าเครือข่ายบล็อกเชน รวมถึง THORChain จะสามารถเซ็นเซอร์ธุรกรรมได้” 

ที่มา: Cointelegraph