เช้าวันนี้ (3 เมษายน) ราคา Bitcoin ร่วงแรงจากระดับ $85,000 ลงมาแตะ $82,000 ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ออกมาประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ
แต่สิ่งที่ตามมาอาจไม่ใช่แค่การร่วงของราคา เพราะผลกระทบจาก “ภาษีทรัมป์” อาจลุกลามไปไกลกว่าที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดไว้
Alexander Blume ซีอีโอของบริษัท Two Prime Digital Assets เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเหมืองขุด Bitcoin กำลังเผชิญแรงกระแทกอย่างหนักจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เนื่องจากเหมืองขุดส่วนใหญ่ยังคงต้องพึ่งพาชิปคอมพิวเตอร์ประเภท ASIC ที่ผลิตในประเทศจีนเป็นหลัก
การเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนโดยตรงเช่นนี้ ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานของนักขุดพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งไม่เพียงแต่บั่นทอนผลกำไรเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้บริษัทในสหรัฐฯ แข่งขันกับเหมืองในประเทศอื่นได้ยากยิ่งขึ้น
สิ่งนี้หมายความว่า การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในสัดส่วนประมาณ 34% ของสหรัฐฯ กำลังส่งแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่สู่อุตสาหกรรมขุด Bitcoin โดยตรง โดยจะทำให้ต้นทุนการขุดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลให้นักขุดในสหรัฐฯ มีกำไรน้อยลง
ท้ายที่สุด ปัญหานี้อาจลุกลามไปกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทเหมืองขุด ที่สูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับเหมืองในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ขุดในราคาถูกกว่า ซึ่งอาจทำให้บริษัทในสหรัฐฯ ต้องเร่งหาทางออกด้วยการหันไปนำเข้าเครื่องขุดจากแหล่งอื่นที่อยู่นอกเหนือการเก็บภาษี
ด้าน Darcy Daubaras ซีเอฟโอของบริษัท Hive Digital เห็นพ้องตรงกันว่า นักขุดคริปโทฯ จะต้องมีเงินทุนสำรองมากขึ้น เพื่อให้อยู่รอดและแข่งขันต่อไปได้ในสภาพแวดล้อมต้นทุนที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม การที่ต้นทุนพุ่งสูงเช่นนี้ อาจกลายเป็น “ช่องทางลัด” ให้กับผู้เล่นรายใหญ่หรือเหมืองที่ต้นทุนต่ำอยู่แล้ว เพราะเมื่อมีนักขุดรายย่อยต้องจำใจถอยออกจากตลาด ค่าความยากในการขุด (Mining Difficulty) ก็จะปรับลดลง ทำให้ผู้เล่นที่เหลืออยู่สามารถทำกำไรได้มากขึ้น กลายเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ “ผู้แข็งแกร่งยิ่งได้เปรียบ” ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในวงการคริปโทฯ ปัจจุบัน
ที่มา : The Block