เมื่อวันที่ 7 เมษายน นาย Maroš Šefčovič รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ประกาศว่าสหภาพยุโรป (EU) จะเริ่มทำการจัดเก็บภาษีนำเข้า (tariffs) สินค้าจากสหรัฐฯ 20% เพื่อเป็นการตอบโต้นโยบายของทรัมป์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 15 เมษายน เป็นต้นไป
การตอบโต้ของสหภาพยุโรปครั้งนี้ได้จุดไฟให้ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปปะทุรุนแรงขึ้นอีกขั้น พร้อมลากความสัมพันธ์ระหว่างสองภูมิภาคให้เข้าสู่ภาวะเปราะบางมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าท่าทีของยุโรปจะดูแข็งกร้าวผ่านมาตรการภาษีตอบโต้ แต่ก็ยังคงเปิดช่องสำหรับการเจรจา โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ระบบการค้าระหว่างประเทศมีความเป็นธรรมและสมดุลมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากนโยบายภาษีครั้งนี้กลับไม่กระจายตัวเท่ากัน
ฝั่งตลาดยุโรปยังคงทรงตัวได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ กลับสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน สะท้อนได้จากดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวลดลงทันที 1.3% ภายในวันเดียว หลังกฎหมายภาษีฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ ซึ่งชี้ให้เห็นว่านักลงทุนในฝั่งสหรัฐฯ ยังคงหวาดหวั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนที่อาจตามมา
สถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปในช่วงเวลานี้ ชวนให้นึกถึงวิกฤตสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในปี 2018 ซึ่งครั้งนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้กับระบบการค้าระหว่างประเทศ และส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ทั่วโลกต้องสะดุด
ในครั้งนี้ แม้จะเป็นคนละฝั่งของโลก แต่ผลกระทบก็เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในตลาดคริปโตที่มีความอ่อนไหวต่อข่าวสารเชิงลบ ล่าสุดราคา Bitcoin ร่วงลงมาแตะระดับ $80,000 ขณะที่ Ethereum ก็หล่นไปอยู่ที่บริเวณ $1,500 ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดรอบเดือน
หากสหภาพยุโรปยังคงยืนยันเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในวันที่ 15 เมษายนนี้ โดยไม่มีการเปิดโต๊ะเจรจาใด ๆ เกิดขึ้นก่อนหน้า ตลาดทั้งในฝั่งหุ้นและคริปโตมีแนวโน้มเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหม่จากมหากาพย์สงครามการค้าระลอกถัดไป
ที่มา : Coincu