รายงานล่าสุดเผยให้เห็นว่า ปริมาณ Bitcoin ที่ถูกเก็บไว้บนเว็บเทรดแบบรวมศูนย์ (centralized exchanges) ได้ร่วงลดลงแตะระดับต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของนักลงทุนที่เปลี่ยนไป โดยนักลงทุนจำนวนมากตัดสินใจเลือกที่จะย้ายเหรียญไปเก็บไว้ในกระเป๋าเงินส่วนตัวหรืออุปกรณ์จัดเก็บ (cold storage) เพื่อความปลอดภัยที่มากขึ้น
ข้อมูลบนเครือข่ายชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนเริ่มหันมาใช้กลยุทธ์การถือครองระยะยาวกันมากขึ้น ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวมักถูกตีความว่าเป็นสัญญาณแนวโน้มที่แสดงให้เห็นว่านักลงทุนไม่ได้วางกลยุทธ์มองแค่ความผันผวนในระยะสั้น แต่ให้ความสำคัญกับการเก็บออม Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์เก็บมูลค่าระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสถาบันหรือผู้เล่นรายใหญ่ ที่เน้นความปลอดภัยและการลงทุนในระยะยาว
แนวโน้มความสนใจของนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้น และการยอมรับ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ลงทุนระยะยาว
โดยทั่วไปนักลงทุนรายย่อยมักเก็บสินทรัพย์ของตนเองไว้บนเว็บเทรดเพื่อความสะดวกในการเข้าถึงเพื่อให้สามารถทำการซื้อขายได้ง่าย ทว่าการที่ยอดคงเหลือของ Bitcoin บนกระดานเทรดลดลงในระยะหลัง แสดงให้เห็นว่าตลาดส่วนหนึ่งเริ่มเปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์ถือครองแบบระยะยาวมากขึ้น
แนวโน้มนี้สอดคล้องกับความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนสถาบัน ซึ่งมักให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของการจัดเก็บ และมีมุมมองการลงทุนในระยะยาวหลายปีเป็นหลัก

นโยบายภาษีนำเข้าส่งออกอาจส่งผลดีต่อ Bitcoin
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความผันผวนของตลาดที่กลับมาอีกครั้ง หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จุดกระแสความกังวลเรื่องสงครามการค้ารอบใหม่ ด้วยการประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้ารายสำคัญ ส่งผลให้ตลาดการเงินแบบดั้งเดิมผันผวนทันที สะท้อนถึงความเปราะบางของความเชื่อมั่นจากนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม แม้ในเวลาต่อมา ทรัมป์จะประกาศชะลอมาตรการภาษีออกไปอีก 90 วัน ซึ่งช่วยบรรเทาแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้นได้ แต่ความไม่แน่นอนในภาพรวมกลับยิ่งตอกย้ำบทบาทของ Bitcoin ในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค (macro hedge) ได้อย่างชัดเจน
Supply Shock อาจเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาเตรียมทะลุขึ้นสู่ระดับใหม่
ขณะเดียวกันนอกจากปริมาณ BTC บนกระดานเทรดที่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง สภาพคล่องในตลาดกลับเริ่มตึงตัวมากขึ้นหากเกิดแรงซื้อจากปัจจัยภายนอก เช่น ความตึงเครียดทางการเมือง ภาวะเงินเฟ้อ หรือการไหลออกของทุนจากระบบการเงินดั้งเดิม (capital flight) จะส่งผลทำให้อุปทาน Bitcoin ที่เหลือในตลาดลดน้อยลงและอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการที่มากขึ้น
ดังนั้นภาวะ “Supply Shock” ลักษณะนี้อาจเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ราคา Bitcoin พุ่งทะยานเฉกเช่นในอดีต กล่าวคือ การลดลงของเหรียญในกระดานเทรด ไม่ได้เป็นแค่สัญญาณเชิงบวกธรรมดา แต่มันคือการปูทางไปสู่ความเคลื่อนไหวของราคาในเชิงบวก โดยเฉพาะในช่วงที่แรงซื้อเริ่มเข้ามาอย่างจริงจัง
ที่มา: cryptovalleyjournal