ข้อมูลล่าสุดจากบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลบนบล็อกเชน Arkham ระบุว่า BlackRock บริษัทบริหารสินทรัพย์ยักษ์ใหญ่ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 11 ล้านล้านดอลลาร์ ได้เข้าซื้อ Bitcoin มูลค่าสูงถึง 2.5 พันล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางแนวโน้มราคาที่ใกล้แตะระดับ 100,000 ดอลลาร์
สิ่งนี้สอดคล้องกับจดหมายประจำปีที่ Larry Fink ซีอีโอของ BlackRock ส่งถึงนักลงทุนเกี่ยวกับอนาคตของ Bitcoin โดยระบุว่า “Bitcoin อาจกลายเป็นเงินสำรองของโลกแทนดอลลาร์” พร้อมเตือนถึงปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่กำลังพุ่งสูงอย่างน่ากังวล
“สหรัฐฯ ได้รับประโยชน์จากการที่ดอลลาร์เป็นเงินสำรองของโลกมานานหลายทศวรรษ แต่สถานะนี้ไม่ใช่สิ่งที่คงอยู่ตลอดไป” Fink เขียน “หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เติบโตเร็วกว่าจีดีพีถึง 3 เท่า ตั้งแต่ปี 1989 และในปีนี้เพียงปีเดียว ดอกเบี้ยของหนี้จะทะลุ 952 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่างบประมาณด้านกลาโหมเสียอีก”
“หากรัฐบาลยังไม่สามารถควบคุมหนี้และการขาดดุลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายในปี 2030 รายได้จากภาษีทั้งหมดของรัฐบาลกลางจะถูกใช้ไปกับการใช้จ่ายภาคบังคับและดอกเบี้ยหนี้ทั้งหมด อเมริกาอาจสูญเสียสถานะทางการเงินไปให้กับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin”
ขณะเดียวกัน Arkham ยังเปิดเผยว่า Riot Platforms บริษัทเหมือง Bitcoin ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กำลังเทขาย BTC อย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทได้ขายไปแล้ว 475 BTC คิดเป็นมูลค่าราว 38.8 ล้านดอลลาร์ และมีการโอน BTC จำนวนเท่ากันไปยัง NYDIG
“เมื่อวันจันทร์ Riot เพิ่งโอน BTC มูลค่า 6.7 ล้านดอลลาร์ไปยัง NYDIG พวกเขาอาจกำลังขายเพิ่มเติมในเดือนนี้หรือไม่?”
ข้อมูลปัจจุบันระบุว่า Riot ถือครอง Bitcoin ทั้งหมดราว 6,611 BTC หรือประมาณ 642 ล้านดอลลาร์ โดยราคาปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่แตกต่างกันของบริษัทด้านสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วงที่ตลาดกำลังปรับตัวเข้าสู่ระดับใหม่ที่ใกล้ 6 หลัก
ทั้งนี้ บทความดังกล่าวเป็นเพียงแค่การเสนอข่าวเท่านั้น การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนอาจเสียเงินทั้งจำนวนได้ ดังนั้นผู้ลงทุนควรที่จะศึกษาและประเมินความเสี่ยงก่อนที่จะลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ อยู่เสมอ
ที่มา: DailyHODL