สโมสรฟุตบอลระดับโลกอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง Paris Saint-Germain (PSG) หรือ เปแอสเช ได้ออกมาประกาศกลยุทธ์การถือครอง Bitcoin ในงบดุลของตัวเอง โดยเปิดเผยในงานประชุม Bitcoin 2025 ที่จัดขึ้นที่ลาสเวกัสเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า PSG เริ่มซื้อ Bitcoin มาตั้งแต่ปีที่แล้ว และยังคงถือไว้จนถึงปัจจุบัน
พาร์ เฮลโกสสัน (Pär Helgosson) หัวหน้า PSG Labs ขึ้นเวที กล่าวว่า “เรานำ Bitcoin มาใส่ไว้ในบัญชีงบดุลของเรา เราเอาเงินสำรองที่เป็นเงินเฟียตมาแปลงเป็น Bitcoin และเรายังไม่ได้ขาย ยังถือครองอยู่จนถึงตอนนี้”
Pär Helgosson ยังกล่าวเสริมด้วยความภูมิใจว่า PSG เป็นหนึ่งในสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในโลก และถือเป็นสโมสรแรกในวงการกีฬาที่นำ Bitcoin มาไว้ในงบดุล
แม้ว่าทีมกีฬาหลายทีม จะเคยทดลองออกโทเค็นแฟนคลับ หรือลง NFT กันในช่วงตลาดขาขึ้นยุคโควิด แต่ PSG ก้าวไปไกลกว่านั้นด้วยการลงทุนระยะยาวใน Bitcoin อย่างจริงจัง ซึ่งไม่ใช่แค่หวังเก็งกำไรเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นกลยุทธ์ในการดึงดูดแฟนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับโลกดิจิทัล โดย Pär Helgosson เปิดเผยว่า แฟนบอลกว่า 80% จากทั้งหมด 550 ล้านคนของ PSG ทั่วโลก มีอายุต่ำกว่า 34 ปี
ปรากฏการณ์ ‘Crypto Treasury’ ที่เคยฮิตช่วงโควิดแล้วเงียบหายไปพักใหญ่ เริ่มกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในช่วงนี้ โดยมีบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Trump Media และ Twenty One Capital ออกมาประกาศถือ Bitcoin มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ตามรอยกลยุทธ์ของ Michael Saylor แห่ง Strategy ส่วนบริษัทอื่น ๆ ก็เลือกลงทุนในเหรียญทางเลือกอย่าง Ethereum หรือ Solana แทน
Pär Helgosson กล่าวว่า “PSG ไม่ใช่แค่สโมสรฟุตบอล เราเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ และเราเชื่อในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่นเดียวกับ Bitcoin” พร้อมอธิบายว่า PSG เป็นทีมแรกที่จัดตั้งตำแหน่ง “หัวหน้าฝ่าย Web3 และ Metaverse” ขึ้นมาอย่างเป็นทางการ โดย PSG Labs ที่เขาดูแลอยู่ก็ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมของสโมสร
Pär Helgosson ยังประกาศอีกด้วยว่า PSG กำลังเตรียมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการและโครงการด้าน Bitcoin รุ่นใหม่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเปิดตัวสินค้า ร่วมลิสต์เหรียญ หรือแม้แต่ระดมทุนร่วมกัน
Pär Helgosson กล่าวว่า “เราจะช่วยให้พวกคุณโตไปพร้อมกับเรา ทั้งในแง่การเปิดตัว การระดมทุน และการเข้าสู่ตลาดระดับโลก ด้วยเครือข่ายฐานแฟนคลับ กว่า 500 ล้านคนทั่วโลกของเรา ”
เรียกได้ว่า PSG กำลังผันตัวจากแค่ทีมฟุตบอล มาเป็นแรงขับเคลื่อนเทคโนโลยีคริปโตในระดับโลกเลยก็ว่าได้
ที่มา : theblock

