<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ยักษ์ใหญ่แดนมังกร “JD.com” เตรียมดันใช้งาน Stablecoin หวังเชื่อมโลกธุรกรรมใน 10 วินาที

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ปัจจุบันโลกของการเงินกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วยการมาถึงของเทคโนโลยีบล็อกเชน และ Stablecoin หรือเงินดิจิทัล ซึ่งในขณะนี้ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นฝั่งภาครัฐ หรือภาคธุรกิจเองก็เริ่มให้ความสนใจและมองว่ามันกำลังจะกลายเป็นอนาคตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ขนาดบริษัทในประเทศจีนที่ขึ้นชื่อว่าต่อต้านคริปโตยังสนใจในเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน

ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน เปิดเผยว่า JD.com บริษัทด้านเทคโนโลยีและ eCommerce เจ้าใหญ่ที่มีฉายาว่า “Amazon จากประเทศจีน”กำลังเล็งที่จะขอใบอนุญาต Stablecoin ในพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของโลก ซึ่งตัวประธานอย่าง Liu Qiangdong ได้แสดงถึงวิสัยทัศน์ในการปฏิวัติระบบการเงินแบบไร้พรมแดน 

Qiandong ชี้ว่าทางบริษัทมีความต้องการที่จะนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายรวมถึงระยะเวลาที่ใช้ในการโอนเงินไปมาระหว่างประเทศ โดยเขาระบุว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 90% อีกทั้งยังร่นระยะเวลาจาก 2-4 วัน ให้เหลือเพียง 10 วินาทีได้หากประสบความสำเร็จ ซึ่งจะเป็นการปลดโซ่ตรวนของหน่วยงาน SWIFT ที่คอยฉุดรั้งบริษัทต่างๆทั่วโลก

ทั้งนี้ ความทะเยอทะยานของ JD ในเรื่องของ Stablecoin ไม่ได้จู่ๆก็ผุดขึ้นมาเอง แต่ได้มีการศึกษามาอย่างต่อเนื่องผ่านทางบริษัทในเครืออย่าง Jingdong Technology ซึ่งได้มีการเข้าร่วมโครงการ Sandbox ของฮ่องกงมาตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี  2024 

Qiandong เผยว่าในขั้นต้น JD Stablecoin จะเป็นการปรับใช้ระหว่างภาคธุรกิจก่อน แล้วจึงค่อยมาเปิดให้บริการสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป โดยเขาหวังว่าในอนาคตผู้คนจะใช้ Stablecoin ของพวกเขาในการชำระค่าสินค้า-บริการต่าง ๆ ทั่วโลก

สำหรับหัวใจหลักของโปรเจกต์ดังกล่าวที่จะไม่เอ่ยถึงก็คงไม่ได้อย่าง Zhizhen Chain ซึ่งเป็นบล็อกเชนภายใต้การครอบครองของ JD แต่เพียงผู้เดียว ที่ปัจจุบันรองรับธุรกรรมการเงินมูลค่ากว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ซึ่งแตกต่างจากโปรเจกต์คริปโตที่เน้นการเก็งกำไรเป็นหลัก

จะเห็นได้ว่าแนวทางกลยุทธ์ของ JD มีความคล้ายคลึงกับทางคู่แข่งอย่าง Ant Group ของ Jack Ma คือการนำบล็อกเชนมาปรับใช้ภายในองค์กรก่อน จากนั้นจึงสร้างรายได้จากโครงสร้างพื้นฐานนั้น ซึ่งบริษัททั้งสองต่างก็แข่งขันกันในสงคราม Stablecoin ของฝั่งซีกโลกตะวันออก เห็นได้จากการที่ Ant Group ได้มีการยื่นขอใบอนุญาต Stablecoin จากทางฮ่องกงเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ทาง JD ยังคงมีข้อได้เปรียบในเรื่องของระบบนิเวศที่มีผู้ใช้งานมากถึง 600 ล้านคน และมีเครือข่ายโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมมากถึง 20 ประเทศ สิ่งนี้หมายความว่าหากโปรเจกต์พร้อมเมื่อไร ทาง JD ก็สามารถนำร้านค้าจำนวนมากเข้ามาในระบบ Stablecoin ได้ในทันที เหมือนกับที่ Alipay ครองตลาดการชำระเงินในประเทศจีน