บัลแกเรียตกเป็นประเด็นร้อนในแวดวงการเงินและคริปโต หลังมีรายงานว่า ประเทศเคยครอบครอง Bitcoin จำนวนมหาศาลกว่า 213,500 BTC ที่ยึดได้จากปฏิบัติการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ในปี 2017 โดยในเวลานั้น มูลค่าของ Bitcoin ทั้งหมดคิดเป็นเพียง ราว 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพียงพอสำหรับชำระหนี้สาธารณะของประเทศได้ราวหนึ่งในห้า
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลบัลแกเรียตัดสินใจขาย Bitcoin เหล่านี้ออกไปในปี 2018 เนื่องจากมองว่าเป็นการจัดการสินทรัพย์ที่เหมาะสมภายใต้กรอบกฎหมายและสถานการณ์การเงินในเวลานั้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลเลือกขายคือ ความไม่พร้อมของระบบการดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล (Custody) ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ และแรงกดดันจากสหภาพยุโรปที่ต้องการให้ประเทศคงวินัยทางการคลัง
แต่หากมองย้อนกลับมาวันนี้ การตัดสินใจครั้งนั้นถือเป็น “โอกาสทองที่สูญหาย” เพราะ ราคาของ Bitcoin ปัจจุบันพุ่งแตะราว $118,000 ต่อเหรียญ ซึ่งทำให้ 213,500 BTC มีมูลค่ารวมกว่า $25.2 พันล้านดอลลาร์ มากกว่าหนี้สาธารณะปัจจุบันของประเทศที่ราว $24 พันล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของ World Economics
นักวิเคราะห์อย่าง Robert Znidar จากแพลตฟอร์มคริปโต Iconomi มองว่า การขายครั้งนั้นสะท้อนถึง “ความไม่เข้าใจในปรัชญาและศักยภาพของ Bitcoin” ขณะเดียวกัน Alex Obchakevich ผู้ก่อตั้ง Obchakevich Research เสนอว่า หากรัฐบาลเลือกถือครองเพียง 10-20% ของ BTC ที่ยึดมาเป็น “สินทรัพย์สำรองเชิงกลยุทธ์” (Strategic Reserve) ผลลัพธ์วันนี้อาจเปลี่ยนภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมหาศาล
Valentin Mihov ผู้ร่วมก่อตั้ง Enflux และเป็นชาวบัลแกเรียกล่าวว่า “นี่คือสัญญาณว่ารัฐบาลส่วนใหญ่ในตอนนั้นมอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์อันตราย และไม่ตระหนักถึงบทบาทในฐานะสินทรัพย์สำรองของโลกอนาคต” พร้อมชี้ว่าปัจจัยอื่นๆ เช่น ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย และความไม่แน่นอนของกฎหมาย มีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจขาย
ปัจจุบันหลายประเทศเริ่มปรับทัศนคติต่อคริปโต โดยข้อมูลจาก Bitcoin Treasuries ระบุว่า รัฐบาลทั่วโลกถือครอง Bitcoin รวมกว่า 463,000 BTC หรือราว 2.3% ของอุปทานทั้งหมด โดยสหรัฐฯ และจีนครองอันดับสูงสุดด้วยการถือรวมกว่า 388,000 BTC ตามมาด้วยสหราชอาณาจักร ยูเครน และแม้แต่เกาหลีเหนือ
กรณีนี้กลายเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับรัฐบาลทั่วโลกว่า Bitcoin ไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์เก็งกำไรอีกต่อไป แต่กำลังถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์สำรองเชิงกลยุทธ์” สำหรับเศรษฐกิจในอนาคต
ที่มา : cointelegraph

