<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

วิกฤตซ้อนวิกฤต! ทรัมป์จุดไฟสงครามการค้า วาฬยุคบุกเบิกสาด BTC ทิ้ง 9.6 พันล้าน

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีกลับมาเผชิญกับความไม่แน่นอนครั้งใหญ่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากต้องรับมือกับปัจจัยลบที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกันถึงสองเรื่อง ทั้งการเคลื่อนไหวล่าสุดจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ออกมาจุดชนวนความกังวลเรื่องสงครามการค้าครั้งใหม่ และการเคลื่อนไหวของ “วาฬ” ยุคบุกเบิกที่ตื่นจากการหลับใหลนาน 14 ปี แล้วเทขาย Bitcoin มูลค่ามหาศาลกว่า 9.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ความกังวลระลอกแรกเริ่มต้นขึ้นในช่วงเช้าวันจันทร์ เมื่อราคา Bitcoin (BTC) ได้ปรับตัวลดลงประมาณ 1.07% จากจุดสูงสุดที่ 109,711 ดอลลาร์ มาเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 108,533 ดอลลาร์ การปรับตัวลงครั้งนี้เกิดขึ้นแทบจะในทันทีหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศผ่าน Truth Social ว่าจะบังคับใช้กำแพงภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจาก 14 ประเทศ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อเป็นการตอบโต้ “พฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม” การเคลื่อนไหวนี้ได้จุดกระแสเทขายในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงอย่างฉับพลัน และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังเหรียญอื่นๆ เช่น Ethereum (ETH) ที่ร่วงลงกว่า 2%

ซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก เมื่อ Cointelegraph รายงานในวันพฤหัสบดีว่า “วาฬ” ยุคซาโตชิ ซึ่งไม่เคยเคลื่อนไหวมานานถึง 14 ปี ได้ทำการโอน Bitcoin ที่ตนเองได้รับมาตั้งแต่ปี 2011 (ในสมัยที่ราคา BTC ยังต่ำกว่า 30 ดอลลาร์) เป็นมูลค่าสูงถึง 9.6 พันล้านดอลลาร์ 

Jacob King นักวิเคราะห์ทางการเงินและซีอีโอของ WhaleWire ได้แสดงความเห็นผ่าน X ว่า การเทขายครั้งประวัติศาสตร์นี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่สภาคองเกรสสหรัฐฯ เพิ่งผ่านร่างกฎหมาย GENIUS Act ซึ่งจะบังคับให้ผู้ออก Stablecoin ต้องมี “การตรวจสอบบัญชีที่เข้มงวด” “ลำพังแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็จะทำให้ฟองสบู่และการหลอกลวงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินต้องแตกสลาย นั่นคือ Bitcoin ซึ่งถูกค้ำจุนไว้ทั้งหมดด้วยเงินปลอมที่พิมพ์ออกมาจากอากาศธาตุ” เขากล่าว

การลงมติในร่างกฎหมาย CLARITY Act เมื่อวันพฤหัสบดี ที่มา: สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากแพลตฟอร์ม Nansen กลับมองต่างมุม โดยให้ความเห็นว่าวาฬยุคบุกเบิกเหล่านี้อาจ “ไม่ได้ใส่ใจกับกฎระเบียบมากนัก” แต่การเทขายเป็นเพียงการทำกำไรหลังจากที่ถือครองมาอย่างยาวนานและสร้างความมั่งคั่งได้อย่างมหาศาลแล้ว “ในท้ายที่สุดแล้ว คนเราก็ย่อมต้องการที่จะทำกำไรและใช้ความมั่งคั่งนั้นเพื่อความสุขของตนเอง เพราะจะมีเหตุผลอื่นใดอีกในการสะสมความมั่งคั่งเล่า?” เขากล่าวกับ Cointelegraph 

กราฟดัชนี Crypto Fear & Greed ที่มา: CoinMarketCap

ขณะที่ดัชนี Fear and Greed ยังคงอยู่ที่ระดับ 71 ซึ่งบ่งชี้ถึงความโลภในตลาด และนักลงทุนจำนวนมากอาจยังคงรอจังหวะการปรับฐานเพื่อเข้าซื้อเพิ่มเติม 

กระแสเงินทุนไหลเข้า-ออก Bitcoin ETF (หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่มา: Farside Investors

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางข่าวร้ายเหล่านี้ ยังมีสัญญาณบวกจากฝั่งนักลงทุนสถาบัน โดยข้อมูลจากกองทุน Spot Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่ายังคงมีเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิอย่างต่อเนื่องในหลายวันทำการ ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้เล่นรายใหญ่ยังคงมีความเชื่อมั่นและใช้จังหวะที่ตลาดย่อตัวในการเข้าสะสม

สถานการณ์ตลาดคริปโตในช่วงนี้จึงยังคงเต็มไปด้วยความผันผวนและต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป

ที่มา: cointelegraph