สงครามการสะสม Ether (ETH) ระหว่างบริษัทมหาชนได้ทวีความดุเดือดขึ้นไปอีกขั้น หลังจากที่ SharpLink Gaming (SBET) ได้ประกาศเข้าซื้อ ETH ล็อตใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทเป็นมูลค่าเกือบ 259 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อทวงคืนตำแหน่ง “ผู้ถือครอง ETH ในกลุ่มบริษัทมหาชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก” กลับมาจากคู่แข่งอย่าง BitMine Immersion Technologies ที่เพิ่งจะครองบัลลังก์ได้เพียงไม่นาน
ในรายงานที่เปิดเผยเมื่อวันอังคาร SharpLink ระบุว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าซื้อ Ether เพิ่มเติมถึง 79,949 ETH ที่ราคาเฉลี่ย 3,238 ดอลลาร์ต่อเหรียญ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 258.9 ล้านดอลลาร์ การเข้าซื้อครั้งมโหฬารนี้เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทเพิ่งจะซื้อไปอีก 49 ล้านดอลลาร์เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว ทำให้ปัจจุบัน SharpLink ถือครอง Ether ทั้งสิ้น 360,807 ETH หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการตอบโต้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว BitMine ได้ประกาศว่าบริษัทถือครอง Ether ถึง 300,657 ETH ซึ่งทำให้แซงหน้ายอดถือครองของ SharpLink ที่รายงานไว้ก่อนหน้านี้ที่ 280,706 ETH ไปได้สำเร็จ การกลับมาทวงบัลลังก์ของ SharpLink ในครั้งนี้จึงเป็นการตอกย้ำว่า “สงคราม ETH” นั้นยังไม่จบลงง่ายๆ
การแข่งขันที่ดุเดือดนี้ยังได้ส่งแรงกระเพื่อมไปถึงตลาดหุ้นอย่างชัดเจน โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ARK Invest บริษัทจัดการการลงทุนของนาง Cathie Wood ได้ทุ่มเงินเกือบ 175 ล้านดอลลาร์เข้าซื้อหุ้นของ BitMine (BMNR) จำนวน 4.4 ล้านหุ้น ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่มหาเศรษฐีอย่าง Peter Thiel เพิ่งจะเข้าซื้อหุ้น 9% ของบริษัทไปเมื่อไม่นานนี้ ส่งผลให้ราคาหุ้นของ BitMine พุ่งขึ้นไปกว่า 700% ในรอบเดือนที่ผ่านมา ขณะที่หุ้นของ SharpLink (SBET) ก็ปรับตัวสูงขึ้น 130% ในช่วงเวลาเดียวกัน
เบื้องหลังการแข่งขันอันร้อนแรงนี้คือการขับเคี่ยวกันระหว่างสองยักษ์ใหญ่ในวงการคริปโต โดย SharpLink ซึ่งเดิมเป็นบริษัทด้านการตลาดสำหรับเกมและพนันกีฬา ได้เปลี่ยนทิศทางมาสู่การสร้างคลัง ETH หลังจากได้นาย Joseph Lubin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum เข้ามาเป็นประธานกรรมการ ขณะที่ BitMine ซึ่งเดิมเป็นบริษัทเหมือง Bitcoin ก็ได้แต่งตั้งนาย Tom Lee นักวิเคราะห์กระทิงชื่อดังจาก Fundstrat เข้ามาเป็นประธานกรรมการเพื่อนำทัพกลยุทธ์การสร้างคลัง Ethereum โดยเฉพาะ ศึกชิงตำแหน่ง “MicroStrategy แห่ง Ether” ครั้งนี้จึงกลายเป็นสมรภูมิที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
ที่มา: cointelegraph