นักลงทุนยุค Satoshi ได้รับการยืนยันว่า ได้ขาย Bitcoin (BTC) มูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ การเคลื่อนไหวนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับชุมชนคริปโต เกี่ยวกับอนาคตระยะยาวของคริปโตเคอร์เรนซีอันดับหนึ่ง
สำหรับผู้ถือ Bitcoin ยุคแรกบางราย กระแสเงินทุนจากสถาบันที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องอาจดูขัดแย้งกับหลักการดั้งเดิมของ Bitcoin ซึ่งความขัดแย้งนี้อาจเป็นสาเหตุเบื้องหลังการเทขายครั้งใหญ่
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า Bitcoin จะอยู่ในมือใคร ก็จะยังคงอยู่ต่อไป เนื่องจากความแข็งแกร่งของ Bitcoin ที่มีทั้งความปลอดภัยของเครือข่ายและความเป็นกลาง
ตอนนี้ ความปลอดภัยของ Bitcoin กำลังจะได้รับการยกระดับครั้งใหญ่ จากโปรเจกต์ใหม่ที่ชื่อว่า Bitcoin Hyper (HYPER) โดยโปรเจกต์นี้สามารถระดมทุนในช่วงโปรเจกต์เริ่มต้น ได้แล้วกว่า 5.4 ล้านดอลลาร์ ด้วยเวลาเพียง 53 วัน

นักลงทุนมองว่า โปรเจกต์นี้คือ ก้าวต่อไปของบล็อกเชน ที่นำความปลอดภัยของ Bitcoin มาผสานกับความสามารถในการตั้งโปรแกรม การปรับขยายขนาด และความเร็วระดับ Solana
ซึ่ง Bitcoin Hyper มีเป้าหมายที่จะทำให้บล็อกเชนที่ปลอดภัยที่สุด กลายเป็นบล็อกเชนที่เร็วที่สุดในโลกเช่นกัน
โดยปกติแล้ว โปรเจกต์ระดมทุนในช่วงเริ่มต้น มักมีการกำหนดเป้าหมายเงินทุนไว้ ถึงแม้ Bitcoin Hyper (HYPER) จะยังไม่ได้ระบุ Hard Cap ที่ชัดเจน แต่ยอดเงินที่ระดมทุนได้ก็มากพอที่จะขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ Layer-2 ของพวกเขาให้ก้าวต่อไปได้แล้ว
โปรเจกต์ระดมทุนในช่วงเริ่มต้น ในปัจจุบันจะสิ้นสุดลงในเวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมงข้างหน้า และราคาโทเค็น HYPER ซึ่งอยู่ที่ 0.012425 ดอลลาร์ ก็กำลังจะปรับขึ้นในไม่ช้านี้
เจ้ามือเทขาย จุดชนวนการถกเถียงอนาคต Bitcoin
นักวิเคราะห์ Scott Melker หรือที่รู้จักในชื่อ The Wolf of All Streets ได้ส่งสัญญาณเตือน หลังจากที่ Galaxy Digital (GLXY) ยืนยันว่า มีการขาย Bitcoin จำนวน 80,000 BTC จากวอลเล็ตในยุค Satoshi ซึ่งเป็นการการเทขายที่มีมูลค่าสูงถึง 9 พันล้านดอลลาร์ และได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางในวงการคริปโตอย่างรวดเร็ว
Scott Melker ได้เผยแพร่ข่าวดังกล่าวลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X โดยชี้ว่า อิทธิพลของสถาบันที่เพิ่มขึ้น อาจเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ผู้ถือ Bitcoin ยุคแรกๆ ตัดสินใจขายทำกำไรในที่สุด
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สถาบันต่าง ๆ กำลังจับตามอง Bitcoin อย่างใกล้ชิด เห็นได้จากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ากองทุน Bitcoin ETF ในช่วงต้นเดือนนี้ ซึ่งมีเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียงสองวัน และมียอดเงินไหลออกสุทธิ เพียงสามวันเท่านั้น

ที่มา https://coinmarketcap.com/etf/bitcoin/
ในบรรดานักลงทุนสถาบัน Strategy ถือเป็นผู้นำที่ชัดเจน โดยการใช้กลยุทธ์แบบกองทุนตลาดเงิน เพื่อขยายแผนการสะสม Bitcoin ด้วยการเสนอขายหุ้นบุริมสิทธิ์ “Stretch” มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ พร้อมเงินปันผลผันแปร 9%
จากมุมมองของ Scott Melker ตัวอย่างของการควบคุมโดยสถาบันเหล่านี้ อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ OGs (ผู้ถือ Bitcoin ยุคแรก) บางคนรู้สึกกังวล อย่างไรก็ตาม Scott Melker ก็ยอมรับว่า แรงจูงใจในการขายอาจแตกต่างกันไป และไม่ได้มาจากอุดมการณ์เพียงอย่างเดียว
Kyle Samani หุ้นส่วนผู้จัดการของ Multicoin Capital ก็ได้แสดงความคิดเห็น โดยโต้แย้งว่า การเข้ามามีส่วนร่วมของสถาบัน ไม่ได้บิดเบือนหลักการสำคัญของ Bitcoin
ความจริงแล้ว ความแข็งแกร่งของ Bitcoin อยู่ที่ การกระจายอำนาจ ซึ่งทำให้สามารถทนทานต่อการเซ็นเซอร์ได้ ซึ่ง Kyle Samani ชี้ให้เห็นว่า ผู้ถือครองสามารถเข้ามาถือครองและเทขายออกไปได้
แต่โปรโตคอลของ Bitcoin ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพราะไม่ได้ถูกควบคุมโดยบริษัท หรือแม้กระทั่งผู้สร้างดั้งเดิมอย่าง Satoshi Nakamoto ที่ยังคงไม่เปิดเผยตัวตนและไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ มาจนถึงทุกวันนี้
ด้วยคุณสมบัตินี้เอง ที่ทำให้ Bitcoin ยังคงอยู่รอดได้ แต่ผู้ใช้งานรายหนึ่งก็ได้ตั้งคำถามที่น่าสนใจว่า จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อรางวัลจากการขุดหมดไป หากไม่มีใครทำธุรกรรมเพราะทุกคนถือครองไว้ แล้วค่าธรรมเนียมจะมาจากไหน ?
นี่จึงอาจเป็นบทบาทที่ Bitcoin Hyper (HYPER) จะเข้ามามีส่วนร่วม นั่นคือการยกระดับ Bitcoin ให้ก้าวข้ามสถานะการเป็นเพียงสินทรัพย์ที่อยู่เฉยๆ และทำให้มันสามารถสร้างประโยชน์ได้มากกว่าการถือครองเฉยๆ
ทำไม Bitcoin ต้องถูกนำไปใช้ ไม่ใช่แค่การถือครอง
แนวคิดของ Bitcoin Hyper (HYPER) ถือเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ โดยการขยายประโยชน์ของ Bitcoin ให้สามารถใช้งานได้มากขึ้น ก่อนที่คนจะเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความยั่งยืนของโปรโตคอลในระยะยาว
โดยปกติแล้ว Bitcoin (BTC) มักถูกมองว่า เป็นเพียงสินทรัพย์สำหรับการสะสมและเก็บรักษา ผู้ที่ถือครอง (หรือที่เรียกว่า “Hodl”) จะรอการปรับขึ้นของราคาครั้งต่อไป ซึ่งพฤติกรรมนี้ แม้จะช่วยผลักดันราคาให้สูงขึ้น แต่ก็ส่งผลให้เครือข่ายมีการใช้งานจริงที่จำกัด
ผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X ตั้งคำถามถึง Melker โดยชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่น่าสนใจอย่างหนึ่งว่า หากไม่มีใครทำธุรกรรม ค่าธรรมเนียมก็จะไม่เกิดขึ้น และหากไม่มีค่าธรรมเนียม แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อรางวัลบล็อกลดลงในการ Halving ครั้งถัดไป?
แม้ว่าปี 2140 ซึ่งเป็นปีที่คาดว่า จะขุด Bitcoin ครบทั้งหมดจะยังอีกนาน แต่การ Halving ในปี 2028 และครั้งต่อๆ ไปอาจเริ่มเผยให้เห็นถึงข้อบกพร่องที่ร้ายแรง นั่นคือ การออกแบบของ Bitcoin นั้นมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดการใช้งานจริง แต่ในทางปฏิบัติกลับมีวัฒนธรรมที่สนับสนุนให้ผู้คนแค่ถือครอง Bitcoin ไว้เฉยๆ (Hodl) มากกว่านำไปใช้จ่าย
สถานการณ์นี้ยิ่งแย่ลงไปอีก เมื่อบริษัทอย่าง Strategy ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า “การเล่นแร่แปรธาตุทางการเงิน” เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงโดยไม่ต้องซื้อขาย Bitcoin โดยตรงบนเครือข่ายของมันเอง นั่นหมายความว่า Bitcoin ถูกนำไปใช้เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินในรูปแบบที่ข้ามผ่านเครือข่ายดั้งเดิมของมันไป
Bitcoin Hyper คือ โปรเจกต์แรกที่ผสานรวม Solana Virtual Machine (SVM) เข้ากับสถาปัตยกรรมของ Bitcoin โดยสร้าง Layer-2 ความเร็วสูง ที่ซึ่ง DeFi, เกม และ dApps อื่น ๆ สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ ทั้งหมดนี้ยังคงยึดโยงกับความปลอดภัยของเครือข่าย Bitcoin
สรุปสั้นๆ คือ Bitcoin Hyper นำเสนอ แอปพลิเคชันระดับถัดไป ที่ผสานสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งสองโลกเข้าไว้ด้วยกัน แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ช่วยผลักดันกิจกรรม ให้กลับมายัง Base Layer ของ Bitcoin
และด้วยกิจกรรมที่เกิดขึ้นนั้น ก็จะตามมาด้วย ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ซึ่งสิ่งนี้เองคือ กุญแจสำคัญ ที่จะช่วยให้ Bitcoin อยู่รอดได้ในระยะยาว
ความสำคัญ และกลไกการทำงานของ Bitcoin Hyper Bridge
Bitcoin Hyper นำเสนอโซลูชันที่เรียบง่าย แต่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่ “สะพานเชื่อม (bridge)” ซึ่งทำหน้าที่เป็นประตูเข้าออกระหว่าง Bitcoin และ Layer-2 ของมัน ทำให้การโอนย้าย Bitcoin ไปยังแพลตฟอร์ม Layer-2 เป็นไปได้อย่างราบรื่น
เมื่อผู้ใช้ต้องการนำ Bitcoin (BTC) เข้าสู่เครือข่ายความเร็วสูงของ Bitcoin Hyper พวกเขาจะต้องส่ง BTC ไปยัง สะพานเชื่อม (bridge) โดย BTC ดังกล่าวจะถูกล็อกไว้อย่างปลอดภัยบน Base Chain
จากนั้น Wrapped BTC (WBTC) ในจำนวนที่เท่ากัน จะถูกสร้างขึ้นในสภาพแวดล้อมของ Layer-2 ซึ่งเป็น Bitcoin เวอร์ชันที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วข้ามแอปพลิเคชันต่าง ๆ และรองรับกิจกรรมอย่าง DeFi หรือการเล่นเกมได้อย่างราบรื่น

ถึงแม้จะมีการสร้าง Wrapped BTC ขึ้นมา เพื่อใช้ในเครือข่ายที่รวดเร็วกว่า แต่ BTC ดั้งเดิมยังคงถูกล็อกไว้อย่างปลอดภัย และไม่เคยออกจากบล็อกเชน Bitcoin เลย โดยถูกติดตาม และเป็นส่วนหนึ่งของบัญชีแยกประเภท (ledger) ของ Base Layer ซึ่งหมายความว่า ทุกๆ การฝาก-ถอน และการใช้งานสะพานเชื่อมยังคงมีการบันทึกบนเครือข่าย Bitcoin อยู่เสมอ
นี่คือ จุดสำคัญที่ทำให้ Bitcoin Hyper แตกต่าง แม้ว่า Wrapped Asset จะถูกนำไปใช้ในฝั่ง Layer-2 ที่รวดเร็วกว่า แต่การรับประกันความปลอดภัยของธุรกรรมยังคงเชื่อมโยงอยู่กับเครือข่าย Bitcoin อย่างมั่นคง
การออกแบบนี้ จะช่วยให้เกิดค่าธรรมเนียมใหม่ๆ ไหลผ่าน Base Layer โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการใช้งานสะพานเชื่อมเติบโตขึ้น ซึ่งจะสร้างแรงจูงใจที่แท้จริงให้กับผู้ขุดโดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขโค้ดหลักของ Bitcoin
โดยสรุปแล้ว Bitcoin Hyper ทำหน้าที่เป็นผู้ขับเคลื่อน Bitcoin เวอร์ชันใหม่ โดยมอบพื้นที่และโอกาสใหม่ๆ ให้ BTC ได้เคลื่อนไหว และทุกการเคลื่อนไหวนี้ สามารถสร้างค่าธรรมเนียมที่จำเป็นสำหรับ Bitcoin เพื่อให้สามารถอยู่รอดต่อไปได้ในยุคที่ไม่มีรางวัลจากการขุดแล้ว
Bitcoin Hyper เป็นความพยายามอย่างจริงจัง ที่จะแก้ไขความเสี่ยงระยะยาวที่ใหญ่ที่สุดของ Bitcoin พร้อมทั้งปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของมัน
หากคุณเชื่อว่า Bitcoin ต้องการอะไรที่มากกว่าแค่การถือครองเฉย ๆ เพื่อให้เติบโตอย่างยั่งยืน ตอนนี้คือเวลาที่จะเข้าร่วม
สามารถเข้าร่วม โปรเจกต์ในช่วงเริ่มต้นได้ที่ เว็บไซต์ Bitcoin Hyper และเพื่อประสบการณ์ที่ราบรื่นยิ่งขึ้นแนะนำให้ใช้ Best Wallet โดยมีโทเค็น HYPER ที่อยู่ในฟีเจอร์ “Upcoming Tokens” ของ Best Wallet ซึ่งทำให้คุณสามารถติดตาม จัดการ และเคลมโทเค็นได้อย่างง่ายดายเ มื่อเปิดใช้งานจริง
สามารถติดตามความเคลื่อนไหวต่อไปของโปรเจกต์ และเชื่อมต่อกับชุมชนบน Telegram และ X
หากสนใจโปรเจกต์สามารถเข้าไปศึกษา Bitcoin Hyper เพิ่มเติม ได้แล้ว
| เช็คลิสต์ | รายละเอียด | สถานะ |
|---|---|---|
| 1. เว็บไซต์ & Whitepaper | โปรเจกต์มีเว็บไซต์ที่ดูน่าเชื่อถือ และมีเอกสาร Whitepaper ที่ระบุข้อมูลชัดเจนไม่กำกวม | ✔️ |
| 2. ความโปร่งใสของทีมงาน | ทีมพัฒนามีการเปิดเผยตัวตนชัดเจนไม่ได้ปกปิดข้อมูลแต่อย่างใด | ❌ |
| 3. Tokenomics | เหรียญมีการแจกแจงการปันส่วนที่สมเหตุผล และฝ่ายใดถือครองจนมากเกินไป | ✔️ |
| 4.Smart Contract | Smart contract มีความโปร่งใสและถูกตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการใส่โค้ดแอบแฝงเพื่อโจมตีนักลงทุน | ✔️ |
| 5. มีกำหนดการชัดเจน | โปรเจกต์มีการกำหนดวันสิ้นสุดการระดมทุนพรีเซล รวมถึงวันลิสต์เหรียญอย่างชัดเจน | ❌ |
| 6. ผู้ใช้สามารถถอนเงินได้ | กรณีเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดขึ้น นักลงทุนยังคงสามารถทำการถอนเงินคืนได้ | ⚠️ (ไม่ชัดเจน) |
| 7. คอมมูนิตี้ | โปรเจกต์มีชุมชนคอยให้การสนับสนุนจริง ไม่ได้ถูกรันด้วยบอทเพียงอย่างเดียว | ✔️ |
| 8. สภาพคล่อง | โปรเจกต์มีการล็อกสภาพคล่องเพื่อระงับไม่ให้เกิดการ Rug pull ขึ้น | ❌ |
| 9. สัญญาณอันตราย | โปรเจกต์ไม่มีสัญญาณอันตราย เช่น การระดมทุนจะสิ้นสุดเมื่อราคาถึงระดับ XXX เป็นต้น | ⚠️ (ไม่ชัดเจน) |
| อ่านรายละเอียดเช็คลิสต์เพิ่มเติมได้ที่นี่ | ||
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการแนะนำหรือเชิญชวนให้ลงทุนคริปโตเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ โปรดศึกษาข้อมูลให้รอบคอบและลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ท่านยอมรับได้ ทาง Siam Blockchain รวมถึงผู้บริหารและพนักงานของบริษัท ขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่รับผิดชอบในทุกกรณีหากเกิดความเสียหายจากการลงทุนของท่าน
บทความนี้เป็นบทความสปอนเซอร์

