BitMine Immersion Technologies ได้เดินหน้ากลยุทธ์การสะสม Ethereum อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้เข้าซื้ออีก 153,000 ETH คิดเป็นมูลค่า 655 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการถือครอง 5% ของอุปทานทั้งหมดของสินทรัพย์นี้ ตามแถลงการณ์ของบริษัท
การเข้าซื้อครั้งล่าสุดนี้ทำให้บริษัทซึ่งมีฐานอยู่ในลาสเวกัส ถือครอง Ethereum รวมแล้วประมาณ 1.86 ล้าน ETH คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 8.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเท่ากับ 1.5% ของจำนวน Ethereum ทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ 120.7 ล้าน ETH ทำให้ BitMine กลายเป็นผู้ถือครอง Ethereum ในภาคองค์กรรายใหญ่ที่สุดของโลก แซงหน้าการถือครองรวมกันของ SharpLink Gaming, The Ether Machine และแม้กระทั่งมูลนิธิ Ethereum
ทอม ลี (Tom Lee) ผู้ร่วมก่อตั้ง Fundstrat ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของ BitMine ได้กล่าวในวิดีโอที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ว่า Ethereum กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปรียบได้กับ “ช่วงเวลาปี 1971” ซึ่งเป็นปีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยกเลิกมาตรฐานทองคำ ทำให้เงินดอลลาร์กลายเป็นสกุลเงินสังเคราะห์ เขาอธิบายว่าหลังจากยกเลิกมาตรฐานทองคำ นวัตกรรมในบริการทางการเงินก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด เช่น การเกิดขึ้นของกองทุนตลาดเงินและบัตรเดบิต
ลีคาดการณ์ว่าทศวรรษหน้าจะเป็นยุคของการยอมรับ Stablecoin และหุ้นในรูปแบบโทเคน (Tokenized Equities) โดยมีกฎหมาย GENIUS Act เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ เขายังตั้งข้อสังเกตอีกว่า ในขณะที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีความซับซ้อนมากขึ้น AI ก็อาจจะสร้างบนบล็อกเชนได้เช่นกัน
“ในปี 2025 เมื่อโลกแห่งความจริงกลายเป็นดิจิทัล มันจึงเป็นเรื่องปกติที่จะพูดว่า ‘ฉันต้องการสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อเก็บรักษามูลค่า’ และนั่นคือ Bitcoin” ลีกล่าว “แต่มันจะสร้างตลาดสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ขึ้นมา และเราคิดว่าผู้ชนะในตลาดนั้นคือ Ethereum ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว Wall Street ก็กำลังสร้างบนเชนนี้”
ทอม ลี ยังได้ให้มุมมองเกี่ยวกับราคาในอนาคต โดยวิเคราะห์จากอัตราส่วนราคา ETH ต่อ BTC เขาชี้ให้เห็นว่าอัตราส่วนดังกล่าวได้ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในรอบหลายปีที่ 0.018 ในเดือนเมษายน มาอยู่ที่ 0.038 ในวันจันทร์ ซึ่งยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 8 ปีที่ 0.047
ลีคำนวณว่า หากราคา Bitcoin พุ่งไปถึง 250,000 ดอลลาร์ และอัตราส่วน ETH/BTC กลับไปสู่ค่าเฉลี่ย 8 ปี (0.047) ราคา Ethereum ก็จะมีมูลค่าสูงถึง 12,000 ดอลลาร์ “ไม่เพียงแต่ Ethereum ควรจะฟื้นตัวกลับไปสู่ค่าเฉลี่ยระยะยาวเท่านั้น แต่มันอาจจะกลับไปสู่ระดับสูงสุดตลอดกาลของอัตราส่วน และอาจจะสูงกว่านั้นด้วยซ้ำ” ลีกล่าว
ที่มา: prnewswire

