<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

หุ้นบริษัทถือ Bitcoin และ Crypto กอดคอดิ่ง ! หลัง Nasdaq คุมเข้มกฎระดมทุนซื้อคริปโต

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นในกลุ่มบริษัทที่ถือครองคริปโตเคอร์เรนซีเป็นทุนสำรองได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง หลังมีรายงานข่าวว่า Nasdaq ได้เริ่มใช้มาตรการเข้มงวดกับบริษัทจดทะเบียนที่ใช้กลยุทธ์การออกหุ้นใหม่ เพื่อนำเงินไปซื้อคริปโตเคอร์เรนซีมาเก็บไว้ในบริษัท

ตามรายงานของ The Information ระบุว่า Nasdaq กำลังจับตาดูบริษัทในกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด โดยแจ้งให้บริษัทบางแห่งทราบว่า จะไม่สามารถออกหุ้นใหม่ เพื่อระดมเงินทุนไปซื้อคริปโตเคอร์เรนซีได้ หากยังไม่ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นก่อน

การเคลื่อนไหวนี้มีเป้าหมายเพื่อควบคุมกระแสการ “HODLing” หรือการสะสมคริปโตของบริษัทในระยะยาว เพื่อให้แน่ใจว่านักลงทุนจะได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วนและโปร่งใส ก่อนที่บริษัทจะตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ มาเป็นการถือครองคริปโตเคอร์เรนซีในงบดุลของบริษัทอย่างเป็นทางการ

เหตุการณ์นี้ได้ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทในกลุ่มที่ถือครองคริปโตเคอร์เรนซีเป็นทุนสำรอง ปรับตัวลดลงอย่างหนัก โดย MicroStrategy (MSTR) ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกกลยุทธ์การสะสม Bitcoin ในบริษัทก่อนใคร ราคาหุ้นลดลง 2.7% 

ขณะที่หุ้นตัวอื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน เช่น SharpLink Gaming ที่เน้นลงทุนใน Ethereum ราคาหุ้นก็ดิ่งลง 8.3%, Bitmine Immersion Technologies (BMNR) ราคาหุ้นลดลง 6.6%,  ส่วน Mercury Fintech Holding ราคาหุ้นลดลงถึง 19% , Metaplanet ราคาหุ้นลดลง 7% และ Kindly MD ราคาหุ้นลดลง 5.2% 

ผลกระทบของข่าวนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ตลาดหุ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาของคริปโตเคอร์เรนซีด้วย โดยราคา Bitcoin ปรับตัวลดลง 2.1% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 109,300 ดอลลาร์ ขณะที่ราคา Ethereum ลดลง 3.3% มาอยู่ที่ 4,300 ดอลลาร์

สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่แน่นแฟ้นระหว่าง ตลาดหุ้นในกลุ่มบริษัทที่ถือครองคริปโตเคอร์เรนซี กับราคาสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง เมื่อใดก็ตามที่มีข่าวเชิงลบส่งผลกระทบต่อบริษัทเหล่านี้ ราคาของคริปโตก็มักจะปรับตัวลดลงตามไปด้วยในทันที

การที่ Nasdaq ใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในครั้งนี้ อาจเป็นสัญญาณที่สำคัญต่ออนาคตของกลุ่มหุ้นบริษัทที่ถือครองคริปโตเคอร์เรนซีเป็นทุนสำรอง เพราะบริษัทที่ต้องการใช้กลยุทธ์นี้จะต้องผ่านขั้นตอนที่ซับซ้อนและใช้เวลานานขึ้น ซึ่งอาจทำให้การเติบโตของหุ้นกลุ่มนี้ชะลอตัวลง

อย่างไรก็ตาม นี่อาจเป็นผลดีในระยะยาว เพราะจะช่วยให้การลงทุนในกลุ่มหุ้นนี้มีความโปร่งใสและการกำกับดูแลที่ดีขึ้น ผู้ลงทุนจะได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนก่อนตัดสินใจ และบริษัทก็จะมีความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นมากขึ้นด้วยเช่นกัน

ที่มา : seekingalpha