<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Vitalik ทดสอบใช้ ‘กระเป๋าคริปโตล่องหน’ หนีภัยแฮ็กเกอร์ที่กำลังอาละวาด

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ช่วงนี้วงการคริปโตกำลังเจอปัญหาใหญ่ เพราะมูลค่าความเสียหายจากการแฮ็กพุ่งแรง ล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคมมีมูลค่าความเสียหายจากการแฮ็กรวม 163 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน รวม 5 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนเสียหายจากการแฮ็กไปแล้วมูลค่ากว่า 4 พันล้านดอลลาร​์

ในจังหวะนี้เอง Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ได้ออกมาทดสอบใช้กระเป๋าเงินล่องหน หรือ กระเป๋าเงินที่มองไม่เห็น (Invisible Wallet) ของ Hinkal ซึ่งเป็นเครื่องมือด้านความเป็นส่วนตัว ที่ออกแบบมา เพื่อปกป้องผู้ถือกระเป๋าคริปโตใหญ่ ๆ จากการถูกเพ่งเล็งและโจมตี

Hinkal ระบุว่า กระเป๋านี้จะช่วย “ลบร่องรอยกิจกรรมบนเชน” ของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะกระเป๋าที่มีเงินก้อนโต ซึ่งจะลดโอกาสการโดนแฮ็กหรือถูกฟิชชิ่ง แต่ก็ยังคงคอนเซ็ปต์ “ไม่หลุดกรอบของกฎหมาย”

Giorgi Koreli  ซีอีโอของ Hinkal กล่าวว่า ความโปร่งใสของบล็อกเชนที่ทุกคนเห็นมันไม่ใช่ฟีเจอร์ แต่คือ “บั๊ก” เพราะทรัพย์สินกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ที่อยู่บนเชน กำลังถูกคนอื่นแอบส่อง และเอาไปใช้ในทางที่ผิดได้

เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา  Vitalik Buterin ก็ได้ทดลองโอน 0.01 ETH (ประมาณ 44 ดอลลาร์ ) ผ่าน กระเป๋าเงินที่มองไม่เห็น (Invisible Wallet) ของ Hinkal ซึ่งแม้จะติดตามธุรกรรมได้บน Etherscan แต่รายละเอียดลึก ๆ อย่างที่อยู่ และธุรกรรมภายใน ถูกทำให้เบลอ

นักวิเคราะห์หลายคนเห็นตรงกันว่า Invisible Wallet ไม่ใช่เครื่องมือที่จะทำให้กระเป๋าเงินดิจิทัลขนาดใหญ่หายไปจากระบบได้อย่างสมบูรณ์ แต่เป็นเหมือน “เครื่องพรางตัว” มากกว่า

แม้ธุรกรรมจะยังคงถูกบันทึกบนบล็อกเชน แต่ข้อมูลสำคัญ เช่น จำนวนเงิน ที่อยู่ และคู่ธุรกรรม จะถูกปกปิด ทำให้แฮกเกอร์หรือผู้ไม่ประสงค์ดีติดตามได้ยากขึ้น 

อย่างไรก็ตาม หากมีการโอนเงินจำนวนมหาศาลในช่วงที่สภาพคล่องในตลาดต่ำ ก็ยังคงมีโอกาสที่ผู้ไม่หวังดีจะสามารถแกะรอยได้จากพฤติกรรมบางอย่าง เช่น เวลาที่ทำการโอนหรือขนาดของธุรกรรมได้

Hinkal ยืนยันว่า กระเป๋าเงินดิจิทัลนี้ สามารถสร้างสมดุลระหว่างความเป็นส่วนตัวและความถูกต้องตามกฎหมายได้ โดยใช้เทคโนโลยี Zero-Knowledge Proofs (ZK) เข้ามาช่วยยืนยันตัวตน (KYC) ซึ่งผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวจริง ๆ

ทั้งนี้ Vitalik Buterin เคยเสนอแนวคิดในบล็อกส่วนตัวว่า ควรมีการผนวกฟีเจอร์ด้านความเป็นส่วนตัวเข้ากับ Ethereum Wallet โดยตรง แทนที่จะต้องพึ่งพากระเป๋าเงินพิเศษจากภายนอก

Vitalik Buterin เสนอว่า อาจจะมีการเพิ่มฟีเจอร์ “Private Balance” ที่ถูกซ่อนไว้ใน Wallet โดยทุกครั้งที่มีการโอนเงิน ระบบจะดึงเงินจากยอดเงินส่วนตัวนี้เป็นอันดับแรก หรือเมื่อผู้ใช้งานต้องการรับเงิน ก็สามารถสร้าง “Stealth Address” แบบอัตโนมัติเพื่อปกปิดที่อยู่กระเป๋าเงินจริงของผู้รับได้

Hinkal กำลังท้าทายหลักการดั้งเดิมของบล็อกเชนที่ว่า “ทุกคนต้องเห็นทุกอย่าง” โดยนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า นี่ไม่ใช่การทำลายระบบ แต่เป็นการปรับปรุงให้เหลือเพียงข้อมูลที่ “จำเป็นต่อการยืนยัน” เท่านั้น

พูดง่าย ๆ คือ ผู้ใช้งานยังสามารถตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเห็นรายละเอียดทางการเงินทั้งหมดของเจ้าของบัญชี

อย่างไรก็ตาม ความเป็นส่วนตัวในโลกคริปโตยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล เพราะเคยมีกรณีของ Tornado Cash ที่ถูกทางการสหรัฐฯ สั่งแบนเนื่องจากถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์มาแล้ว

 ที่มา : cryptonews